No Song For Loser : ไม่มีเพลงมาร์ชโรงเรียนใด…ร้องให้กับ ‘ผู้แพ้’
“ด้วยหน้าที่ การเป็นทหารนั้นแพ้ไม่ได้
แต่ในพื้นที่สถานศึกษา นักเรียนควรได้เรียนรู้จากการเป็นผู้แพ้
ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง”
เพลงมาร์ช คือ บทเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในการเดินแถวหรือเดินขบวน (Marching) จุดประสงค์สำคัญ คือ การกำหนดจังหวะให้ผู้ร่วมขบวนสามารถก้าวเดินได้พร้อมกันอย่างมีระเบียบ สะท้อนแนวคิดเรื่องวินัย ความสามัคคี และเป้าหมายร่วมกันของผู้ใต้สังกัด
โดยเฉพาะในบริบทของกองทัพทหาร เนื้อหาในบทเพลงเน้นปลุกใจ กล่าวถึงเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความภาคภูมิใจของเหล่าทหารในแต่ละเหล่าทัพ
แต่เพลงมาร์ชไม่ได้ปรากฏแค่ในแวดวงทหารเท่านั้น หากยังแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของนักเรียนไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน เมื่อเสียงเพลงมาร์ชประจำโรงเรียนดังขึ้น นักเรียนทุกระดับชั้นอาจต้องละกิจกรรมตรงหน้า เพื่อเดินไปตั้งแถวหน้าเสาธงอย่างเป็นระเบียบ แล้วเข้าร่วมพิธีประจำวันของแต่ละสถานศึกษา
คำถามคือ เหตุใดสถาบันการศึกษาจึงต้องมีเพลงมาร์ช ? เหตุใด ? การสร้างนักเรียนจึงต้องอาศัยเครื่องมือแบบเดียวกับการฝึกทหาร ? และปรัชญาการศึกษาแบบใดกันที่แฝงอยู่ในเนื้อเพลงเหล่านี้
The Active รวบรวมข้อมูลเพลงมาร์ชของโรงเรียนรัฐประจำจังหวัด ทั้งสิ้น 136 เพลงจาก 136 โรงเรียน (บางจังหวัดไม่มีการกำหนดสถานะของการเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด แต่จะพิจารณาตามพฤตินัย) สำหรับกรุงเทพมหานคร ใช้เพลงมาร์ชของโรงเรียนประจำจังหวัดพระนคร และธนบุรีแทน กรณีที่โรงเรียนใดมีเพลงมาร์ชหลายเพลง จะพิจารณาเฉพาะเพลงแรกเป็นหลัก (สามารถเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่)
ภายใต้ท่วงทำนองที่ชวนให้นักเรียนทุกคนก้าวเดินไปอย่างพร้อมเพรียงกัน หากมีนักเรียนสักหนึ่งคนเดินแตกแถวจะก่อให้เกิดผลใดตามมา ? ชวนสำรวจและวิเคราะห์เพลงมาร์ชของโรงเรียนรัฐประจำจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านสายตาของนักวิชาการด้านการศึกษา และนักแต่งเพลง ผู้จัดทำฐานข้อมูลเพลงมาร์ชของโรงเรียนในประเทศไทย เพื่อตอบคำถามถึงเรื่องราวเบื้องหลังท่วงทำนองอันฮึกเหิมเหล่านี้ว่า เรากำลังสร้างนักเรียนให้กลายเป็นพลเมือง พลเรียน หรือพลรบ กันแน่ ?
ภาษา เพลงมาร์ช กับการทำให้เราเป็น ‘เรา’
ก่อนที่จะเข้าเนื้อหาหลักของข้อมูลเพลงมาร์ชโรงเรียน รศ.เมลดา สุดาจิตรอาภา อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชวนทำความเข้าใจถึงบทบาทของภาษา และการสร้างอัตลักษณ์ของผู้ใช้ภาษา เธออธิบายว่า โดยทั่วไป เรามักเข้าใจว่าภาษามีหน้าที่เพียงเพื่อสื่อสารความต้องการหรือประสบการณ์ของผู้พูดเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ภาษา มีบทบาทสำคัญในการประกอบสร้างอัตลักษณ์และการดำรงอยู่ของตัวตนของเรา ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ในระดับที่เราตระหนักรู้ หรือแม้แต่ในระดับที่เรามองไม่เห็นกระบวนการเหล่านั้นโดยตรง
“เมื่อเราใช้ภาษาในการสร้างตัวตน ย่อมมีมิติของความสัมพันธ์เชิงอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กล่าวคือ เราใช้ภาษาเพื่อเน้นย้ำความสำคัญของตัวเอง ขณะเดียวกันก็อาจกดทับ หรือลดทอนอำนาจของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว การทำให้ ตัวเรา คงอยู่ในแบบที่เราต้องการ จึงมีความสัมพันธ์กับการสถาปนาอำนาจผ่านภาษานั่นเอง เมื่อเรานำประเด็นเรื่องหน้าที่ของภาษามาเชื่อมโยงกับเพลงมาร์ชประจำโรงเรียน จะเห็นว่าบทเพลงเหล่านี้ก็ทำหน้าที่คล้ายกัน คือ มีบทบาทในการประกอบสร้างอัตลักษณ์ของผู้เรียนและสถาบันการศึกษา“
รศ.เมลดา สุดาจิตรอาภา
เมื่อเพลงทหารมีหน้าที่ปลุกใจและสร้างความสามัคคีฉันใด เพลงโรงเรียนที่นำรูปแบบเหล่านี้มาใช้อ้างอิง ก็มีวัตถุประสงค์คล้ายกัน คือสร้างความรู้สึกผูกพัน ความรักสถาบัน และความเป็นหนึ่งเดียวของนักเรียนในโรงเรียนเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อเพลงประจำโรงเรียนถูกร้องในพิธีต่าง ๆ เช่น การเข้าแถวเคารพธงชาติ สิ่งนี้ยิ่งช่วยเพิ่ม ความเข้มขลัง ให้กับบทเพลง
กระบวนการนี้เรียกว่า ปฏิบัติการทางวาทกรรม หมายถึงการที่มีผู้ผลิตเนื้อหา (เช่น โรงเรียน หรือครู) และผู้บริโภค (นักเรียน) โดยเนื้อหานั้นจะถูกผลิตซ้ำและเปิดทุกเช้า เช่น เพลงมาร์ชหน้าเสาธง โดยโรงเรียนเลือกใช้คำว่า “พวกเรา” เพื่อสื่อถึงนักเรียนโดยตรง การฟังและร้องเพลงนี้ทุกวันทำให้เนื้อหาและอุดมการณ์ที่แฝงอยู่ค่อย ๆ ซึมซับเข้าสู่ความคิดของนักเรียนโดยไม่รู้ตัว
แม้เด็กบางคนจะร้องโดยไม่ได้ตั้งใจคิด แต่บางคนที่อยู่ในระบบโรงเรียนตั้งแต่ประถมถึงมัธยม เพลงเหล่านี้ก็อาจเข้าไปหล่อหลอมความเชื่อและค่านิยมบางอย่างในระยะยาว
ประเด็นนี้นำไปสู่คำถามสำคัญว่า โรงเรียนเปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนได้ตีความเนื้อหาในเพลงมากน้อยแค่ไหน ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแนวคิดเชิงนามธรรม เช่น วินัย จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างไร ? พัฒนาชาติ หมายถึงการกระทำใดบ้าง ? คำตอบเหล่านี้ไม่ควรถูกยัดเยียดจากบนลงล่าง สู่นักเรียน แต่ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้สำรวจ เรียนรู้ และสร้างความหมายจากประสบการณ์ของตัวเอง มิฉะนั้น บทเพลงซึ่งควรเป็นเครื่องมือสร้างแรงบันดาลใจ อาจกลับกลายเป็นกลไกในการควบคุมทางความคิดโดยไม่รู้ตัว

The Active สำรวจเนื้อร้องเพลงมาร์ชของโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด* จะพบว่า มีการส่งเสริมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ร่วมกันอยู่ซ้ำ ๆ ตามแผนภูมิที่ปรากฎข้างต้น เช่น นักเรียนต้องเป็นคนดี เป็นคนมีวินัย รู้รักสามัคคี ตลอดจนการส่งเสริมให้มีการแข่งขัน ตัดสิน เปรียบเทียบ และเอาชนะผู้อื่น เน้นความรักและเทิดทูนโรงเรียนเป็นสำคัญ สะท้อนถึงแนวคิดแบบสถาบันนิยมที่ถูกถ่ายทอดผ่านเพลงมาร์ชโรงเรียน
* ข้อมูลเพลงมาร์ชของโรงเรียนรัฐประจำจังหวัดทั้งสิ้น 136 เพลงจาก 136 โรงเรียน(บางจังหวัดไม่มีการกำหนดสถานะของการเป็นโรงเรียนประจำ แต่จะพิจารณาตามพฤตินัย) สำหรับกรุงเทพมหานคร ใช้เพลงมาร์ชของโรงเรียนประจำจังหวัดพระนครและธนบุรีแทน กรณีที่โรงเรียนใดมีเพลงมาร์ชหลายเพลง จะพิจารณาเฉพาะเพลงแรกเป็นหลัก สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ที่นี่
สำหรับ รศ.เมลดา ยังชี้ว่า เพลงมาร์ชเหล่านี้มักถูกร้อยเรียงด้วยคำใหญ่โตหรูหรา และอุดมการณ์ของการเป็น นักเรียนที่ดี เช่น ความดี ความกตัญญู วินัย หรือ ความเป็นเลิศทางวิชาการ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้มักสอดคล้องกับวาทกรรมของรัฐในยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เน้นการพัฒนาชาติ โดยกำหนดว่า พลเมืองควรเป็นอย่างไร เน้นให้เด็กเน้นท่องจำ ฟังให้มาก ๆ ในทุกวันตอนเช้า แต่บทเพลงเหล่านี้กลับไม่บอกเราสักนิดว่า การจะสร้างเด็กให้เป็นคนดี กตัญญู มีวินัย เป็นเลิศทางวิชาการได้นั้น ในบทบาทของสถานศึกษาต้องทำอย่างไร ? เสมือนว่า เรากระโดดข้ามไปที่ผลลัพธ์ตอนจบ โดยที่ไม่ได้พิจารณาว่าเส้นทางที่จะไปสู่ผลลัพธ์นั้นจะต้องเริ่มต้นอย่างไร
“ในเพลงบอกว่า คุณต้องมีวินัย และวินัยมันคืออะไรล่ะ ? มันสร้างยังไง ? วินัยคือตะบี้ตะบันทำทุกวันไหม เราพร่ำบอกแต่ผลที่เด็กต้องเป็น แต่ว่าโรงเรียนไม่ได้สร้างประสบการณ์ร่วมกันกับผู้เรียนเลย“
รศ.เมลดา สุดาจิตรอาภา
ในมุมของโรงเรียน เพลงเหล่านี้จึงเป็น เครื่องมือเชิงอำนาจ ที่ใช้สร้างและตอกย้ำอัตลักษณ์ของโรงเรียน ถูกผลิตซ้ำรุ่นแล้วรุ่นเล่า โดยเฉพาะในกลุ่มครูผู้สอน ที่เคยเป็นผู้รับการปฏิบัติในระบบเช่นนี้มาก่อน เมื่อกลายมาเป็นผู้มีอำนาจในการสอน ก็อาจถ่ายทอดความเชื่อแบบเดิม ๆ ต่อไปอย่างไม่รู้ตัว วนเวียนไม่สิ้นสุด คำถามสำคัญคือ เราจะหยุดวงจรนี้ได้อย่างไร ?

ชัชวาลย์ นิ่มแนบ ผู้จัดทำฐานข้อมูลเพลงมาร์ชของสถานศึกษาในประเทศไทย และนักแต่งเพลง อธิบายเรื่องราวของเพลงมาร์ช ว่า ในทางดนตรี เพลงมาร์ชช่วงยุคแรกเริ่ม มักใช้จังหวะกลองแบบเดียวกับที่ใช้ในวงโยธวาทิตของกองทัพ ซึ่งเน้นเครื่องเป่าทองเหลือง เช่น แซกโซโฟน, ทรัมเป็ต และมีจังหวะหนักแน่นจากกลอง
ต่อมาในยุคที่ได้รับอิทธิพลจากวงดนตรีสุนทราภรณ์ เริ่มมีการเปลี่ยนมาใช้กลองชุดแทนกลองโยธวาทิตแบบดั้งเดิม กลองชุดที่ใช้เพียงคนเดียวควบคุมจังหวะได้ทั้งหมด กลายเป็นส่วนหนึ่งของดนตรีที่ฟังดูร่วมสมัยมากขึ้น
ตั้งแต่ช่วงปี 2540 เป็นต้นมา โรงเรียนขนาดเล็กในระดับอำเภอ หรือตำบลก็เริ่มมีเพลงมาร์ชของตนเอง โดยจัดจ้างบุคลากรที่มีความสามารถด้านดนตรีจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทำให้รูปแบบดนตรีเริ่มมีความหลากหลายขึ้น บางแห่งใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแต่งและเรียบเรียงเพลงโดยไม่ใช้วงดนตรีสด บางเพลงใช้เสียงสังเคราะห์ เช่น MIDI (ซอฟต์แวร์ช่วยประพันธ์เพลงด้วยเสียงสังเคราะห์) ซึ่งยังคงโครงสร้างจังหวะแบบดั้งเดิมไว้ เพื่อสร้างความรู้สึกปลุกใจและคงเอกลักษณ์ของเพลงมาร์ชไว้ได้
แม้ว่าเสียงดนตรีจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่โครงสร้างของคำร้องยังคงเน้นใช้กลอนสุภาพหรือกลอน 8 เป็นหลัก โดยมีการวางสัมผัสนอก และสัมผัสในที่ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ร้องตามได้ มุ่งหวังให้เพลงเหล่านี้สามารถปลุกใจนักเรียนได้ทุกเช้าเมื่อเปิดเสียงตามสายในโรงเรียน
“มากกว่า 90% ของเพลงในโรงเรียนมาจากจังหวะปลุกใจแบบวงโยธวาทิต แม้ทำนองจะต่างกันบ้าง แต่โครงสร้างและอุดมการณ์ที่วางไว้คล้ายกัน โดยเฉพาะการเน้นความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่ปรากฏเป็นแกนหลักแทบทุกเพลง”
ชัชวาลย์ นิ่มแนบ

เพลงมาร์ช สอดแทรกอุดมการณ์ สถาบันหลักของชาติ
ในหลายโรงเรียน เพลงมาร์ชมักจะถูกเปิดขึ้นก่อนเพื่อเป็นสัญญาณให้นักเรียนรับรู้ว่าช่วงเวลาของพิธีหน้าเสาธงใกล้จะเริ่มต้นขึ้น นักเรียนต้องละสิ่งที่ทำอยู่ แล้วรีบไปรวมพลเพื่อเข้าแถวหน้าเสาธง เพื่อเชิญธงชาติ และร้องเพลงชาติ อย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่จะเข้าสู่การสวดมนต์ ท่องคำปฏิญาณ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี หรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามแต่สถานศึกษาจะกำหนด
น่าสนใจที่หลายเพลงมาร์ช ก็มีการสอดแทรกอุดมการณ์ของ 3 สถาบันหลักของชาติเอาไว้ด้วย โดยมี
- 65 โรงเรียน กล่าวถึงความเป็นชาติ, ประเทศไทย, หรือแผ่นดิน
- 45 โรงเรียน กล่าวถึงศาสนา หรือหลักธรรม
- 38 โรงเรียนกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยส่วนใหญ่มักกล่าวถึง 3 สถาบันนี้โดยพร้อมเพรียงกัน
แนวคิดเรื่อง ชาติ ในบริบทไทย ไม่เคยมีความหมายตายตัว แต่ถูกนิยามตามเป้าหมายของรัฐในแต่ละยุคสมัย เดิมที ชาติ เป็นจินตนาการร่วมกันของผู้คน ที่มีสำนึกร่วมกัน ผ่านตัวกลางอย่างภาษา ประวัติศาสตร์ หรือวัฒนธรรม ในเวลาต่อมาความหมายของชาติถูกทำให้แคบลง โดยผูกโยงเข้ากับสถาบันหลักอย่าง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นอุดมการณ์ที่รัฐใช้เพื่อจัดระเบียบความคิดและความจงรักภักดีของประชาชน และเป็นอุดมการณ์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านธงไตรรงค์ ที่แต่ละสีสื่อถึงแต่ละสถาบัน
ผู้จัดทำฐานข้อมูลเพลงมาร์ชของสถานศึกษาในประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลด้วยว่า โรงเรียนรุ่นแรกที่มีเพลงมาร์ช มักจะเป็นโรงเรียนที่เกิดขึ้นในช่วงหลังการยุบมณฑลเทศาภิบาล (ช่วงรัชสมัย ร.7) ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐเริ่มจัดระเบียบการปกครองใหม่ แนวคิดความเป็นรัฐชาติเริ่มเป็นรูปธรรม โรงเรียนระดับจังหวัดจำนวนมากจึงเริ่มมีเพลงประจำโรงเรียนเป็นของตนเอง
เมื่อเปรียบเทียบเพลงมาร์ชของโรงเรียนกับเพลงมาร์ชของกองทัพ จะเห็นได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก ดังที่กล่าวไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะ ทำนอง และเนื้อหาที่เน้นเรื่องความเข้มแข็ง ความรักชาติ การเทิดทูนสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการสร้างความสามัคคีภายในโรงเรียน
เวลาต่อมา ประวัติศาสตร์ระบบการศึกษาไทย เริ่มเป็นรูปเป็นร่างในยุคของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการออกพระราชบัญญัติการศึกษา จัดให้มีเรียนฟรี 12 ปี ในมุมของนักวิชาการด้านการศึกษา มองว่า จอมพลสฤษดิ์ มีทักษะทางวาทกรรมสูง ภายใต้ระบอบเผด็จการทหารที่ดำรงอยู่นานถึง 17 ปี จอมพลสฤษดิ์สร้างระบบที่หล่อหลอมให้สังคมเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะวาทกรรม พัฒนาชาติ ที่เชื่อมโยงกับการศึกษาอย่างแยกไม่ออก
ตัวอย่างหนึ่งคือคำขวัญวันเด็ก ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างภาพของ เด็กดี ที่จะเติบโตเป็น พลเมืองดี ในอนาคต ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้กรอบคิดของรัฐที่มองประชาชนเหมือนเด็กที่ต้องถูกควบคุมดูแล โดยรัฐเปรียบเสมือนพ่อผู้ปกครอง ที่ยังส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งในแง่ของระเบียบวินัย ทรงผม และการกำกับพฤติกรรมในโรงเรียน
รศ.เมลดา มองว่า แนวคิด สถาบันนิยม และ ชาตินิยม ในระบบการศึกษาไทย จึงไม่ใช่เรื่องแยกขาดจากกัน เพราะมีจุดกำเนิดร่วมกันในช่วงรัฐทหาร วาทกรรมในเพลงมาร์ชโรงเรียนจำนวนมาก ก็หยิบยืมจากเพลงมาร์ชทหาร และส่งเสริมคุณลักษณะของนักเรียนในฐานะพลเมืองที่ดีของชาติ ซึ่งในเวลานั้นหมายถึงความมีระเบียบวินัย การเชื่อฟัง และการอยู่ในกรอบ แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป คำถามคือ เราควรยังคงยึดถือลักษณะเดิมอยู่หรือไม่ ?
“โรงเรียนยังควรทำหน้าที่เป็นพื้นที่บ่มเพาะความคิดแบบเดียว
รศ.เมลดา สุดาจิตรอาภา
หรือควรเปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งคำถามกับคุณค่าที่ได้รับมา ?”
สำหรับอุดมการณ์ของประชาธิปไตย บางส่วนถูกถ่ายทอดในโรงเรียนที่มีความสัมพันธ์กับคณะราษฎร ตัวอย่างสำคัญ คือ โรงเรียนคณะราษฎร์บำรุง จังหวัดยะลา โดยชื่อโรงเรียนมีที่มาจากสมาคมคณะราษฎร์จังหวัดยะลา ซึ่งมีบทบาทในการก่อสร้างอาคารเรียนในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง เนื้อเพลงของโรงเรียนนี้จึงมีการสอดแทรกแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยไว้อย่างชัดเจน คล้ายกับอีกตัวอย่างหนึ่งคือ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่มีการเน้นอุดมการณ์ประชาธิปไตยควบคู่กับความรักชาติ

เพลงมาร์ช สื่อสัญญะแห่งสายสัมพันธ์ ?
หนึ่งในอุปลักษณ์ที่พบได้บ่อยในเพลงมาร์ชโรงเรียน คือการใช้ เลือด เป็นสัญญะ เพื่อถ่ายทอดความเป็นครอบครัวเดียวกัน โดยมักอุปมา สีเลือด เป็นดั่งสีประจำโรงเรียน เพื่อระบุความเป็น พวกเรา ที่แตกต่างจาก พวกเขา
ดังนั้น เลือดในที่นี้จึงไม่ใช่ของเหลวที่หล่อเลี้ยงร่างกาย แต่คือสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงทุกชีวิตในโรงเรียน แม้จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันจริง ๆ นอกจากนี้ยังมีการใช้อุปลักษณ์ของเลือดในรูปแบบอื่น เช่น เลือดน้ำเค็ม หรือ เลือดสายแร่ เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น หรือแม้แต่การระบุชื่อโรงเรียนลงไปโดยตรง เช่น เลือดศรัทธา เพื่อสื่อถึงความผูกพันเฉพาะตัวของนักเรียนในสถาบันนั้น ๆ โดยมีอย่างน้อย 33 โรงเรียน ที่อุปมาโรงเรียนเป็นพ่อแม่ และนักเรียนเป็นลูกร่วมสายเลือด
ประเด็นนี้ รศ.เมลดา อธิบายเพิ่มว่า การใช้สัญญะ เลือด ทำหน้าที่เชื่อมโยงนักเรียนทุกคนให้เป็นครอบครัวเดียวกัน เสมือนพี่น้องที่เกิดจากสายเลือดเดียวกัน และต้องรักกันจวบจนวันตายโดยปราศจากเงื่อนไข บทบาทของโรงเรียนจึงเปรียบได้กับผู้ให้กำเนิด เป็นมดลูกทางการศึกษา ที่บ่มเพาะเด็กให้เติบโตเป็นพลเมือง ขณะที่ศิษย์ผู้เป็นลูก จึงต้องช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนพี่น้องในโรงเรียนดั่งเครือญาติ ต้องเชื่อฟัง เคารพสถาบัน และต้องกตัญญูรู้คุณ ฉะนั้นอาจทำให้เข้าใจได้ว่า การที่เด็กสักคนคิดเห็นต่างหรือปฏิเสธการเป็นแม่-ลูกนั้น จึงเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับโรงเรียน เสมือนกับการปฏิเสธเลือดตัวเอง
วาทกรรมเช่นนี้สอดรับกับค่านิยมของสังคมไทย ที่ให้ความสำคัญกับระบบเครือญาติได้เป็นอย่างดี พร้อมเสริมแรงให้ระบบศิษย์เก่า นำไปสู่การจัดอีเวนต์ และสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์หลังเรียนจบ หากโรงเรียนมีชื่อเสียง ศิษย์เก่าเป็นคนใหญ่คนโตในสังคม เครือข่ายนี้อาจพัฒนาไปเป็น ระบบอุปถัมภ์ ที่เกื้อหนุนกันในกลุ่มศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน นำไปสู่การสร้าง ชนชั้น ที่เกิดจากระบบการศึกษา โดยผู้ปกครองหรือเด็กบางกลุ่มอาจเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ เพราะเชื่อในภาพลักษณ์ และหวังถึงผลลัพธ์ ตลอดโอกาสทางสังคมที่ดีกว่า จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการตลาดในระบบการศึกษา
“ปัจจุบัน เราจะเห็นการตลาดโรงเรียนที่มีการจัดอีเวนต์ ให้ศิษย์เก่ามารวมกันแล้วก็สร้างเครือข่าย อยู่ในกลุ่มเดียวกันไปเรื่อย ๆ ระบบอุปถัมภ์ ก็สร้างเครือข่ายโยงใยที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันกับกลุ่มคนที่สำเร็จการศึกษามาจากโรงเรียนเดียวกัน และก่อให้เกิดการผลิตซ้ำทางชนชั้น”
รศ.เมลดา สุดาจิตรอาภา
สำหรับ รศ.เมลดา มองว่า เรามักทำคือปฏิบัติกับผู้เรียนราวกับเป็นคนก้อนเดียวกัน คิดและทำอะไรเหมือน ๆ กัน ดังที่หลาย ๆ เพลงมาร์ชย้ำเสมอว่า ทุกคนเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน และการย้ำคำ ซ้ำคำอยู่บ่อย ๆ ก็สะท้อนให้เห็นจุดเน้นของอุดมการณ์บางอย่างที่ต้องการถ่ายทอด ทั้งที่ในความเป็นจริง นักเรียนแต่ละคนมีต้นทุนชีวิต ข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่เรากลับตั้งความหวังว่าทุกคนต้องไปถึงจุดหมายเดียวกัน ต้องเก่งเท่ากัน ต้องรักเพื่อนพ้อง รักสถาบัน นี่คือแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากการไม่ยอมรับความแตกต่างตั้งแต่ต้นทาง

เราพูดถึงความรักต่อสถาบันการศึกษา ด้วยข้ออ้างทางสายเลือด และความกตัญญูรู้คุณ เพราะเกิดมามีเลือดสีเช่นนี้แล้ว จึงจำเป็นต้องยอมรับ และปฏิบัติตนให้สมกับการเป็นลูกที่ดีคนหนึ่ง แต่ในหัวข้อนี้เราจะพูดถึงการรักสถาบัน ด้วยเหตุผลของเกียรติยศ และชื่อเสียงของสถาบัน
จากข้อมูล The Active พบว่า มีคำว่า รัก ปรากฎอยู่ในบทเพลงถึง 97 จาก 136 บทเพลง โดยมีเพลงที่ระบุถึงบทบาทของผู้เรียนถึงหน้าที่ในการรักสถาบันของตนอยู่ 33 โรงเรียน และอีก 56 โรงเรียนระบุ บทบาทว่านักเรียนต้องเทิดทูนสถาบันของตนเอง โดยทั้งหมดล้วนอ้างเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความเด่นดัง ตลอดจนความยิ่งใหญ่สถาพรของสถาบัน
รศ.เมลดา ยังวิเคราะห์เนื้อเพลงมาร์ชโรงเรียน พบว่า เนื้อเพลงไม่ได้พูดถึงเหตุผลว่าทำไม เราต้องรักโรงเรียน ซึ่งขัดแย้งกับสามัญสำนึกว่าการที่คนหนึ่งจะรักใครสักคน ควรเกิดจากประสบการณ์ร่วมที่เขารู้สึกถึงความรัก ไม่ใช่แค่ชื่อ หน้าตา หรือความเก่าแก่ของอัตลักษณ์อย่างเดียว เราจึงมักเห็นเนื้อเพลงในทำนองว่า โรงเรียนมีภาพลักษณ์และอุดมการณ์ที่ดีเลิศอย่างไรบ้าง ? นักเรียนของเราควรประพฤติตนอย่างไรบ้าง ? แต่กลับไม่มีเรื่องราวของประสบการณ์จริงในโรงเรียน เช่น บทบาทของครูที่คอยช่วยเหลือเราในวันที่ลำบาก ถ้ามีเรื่องพวกนี้ เราอาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าทำไม ? ต้องผูกพันกับโรงเรียน
“ถ้าเราได้เรียนรู้ เติบโตไปด้วยกัน ความรักจะเกิดขึ้นเอง
รศ.เมลดา สุดาจิตรอาภา
โดยไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรักโรงเรียน”
เมื่อนักเรียนถูกปลูกฝังให้รักโรงเรียนตั้งแต่ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความรักนั้นเกิดจากตัวเขาจริงหรือเปล่า ก็ยากที่เขาจะตั้งคำถามกลับไปได้ว่า ทำไมเขาต้องรักโรงเรียน ? ทำไมโรงเรียนเราต้องดีกว่าคนอื่น ? หรือทำไมเราต้องรู้สึกผูกพันกับศิษย์รุ่นเดียวกัน ? การปลูกฝังแบบนี้อาจก่อให้เกิดอคติ การมองโลกแบบเหมารวม และสร้างวัฒนธรรมเครือข่ายที่ยึดโยงกันด้วยความเป็นพวกเรา โดยไม่เปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถามหรือวิพากษ์ระบบ อย่างระบบอุปถัมภ์ที่ยังคงดำรงอยู่ในสังคมไทยดังที่อธิบายไปแล้วในหัวข้อก่อนหน้า
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการยกย่องคนบางกลุ่ม ขณะเดียวกันก็อาจกดทับอีกกลุ่มหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เป็นการผลิตซ้ำความคิดที่เกิดในโรงเรียนและขยายออกไปในสังคมวงกว้าง คนมักมองเฉพาะกลุ่มตัวเอง แทนที่จะมองภาพรวมของสังคม เกิดการแบ่งขั้ว พวกเรา–พวกเขา ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของภาษาศาสตร์วิพากษ์ ที่ระบุว่า มนุษย์มักพูดแต่เรื่องดีของพวกตน ปิดบังข้อเสียของตน และเน้นข้อเสียของผู้อื่น แต่มองข้ามข้อดีไป แนวคิดนี้ยิ่งตอกย้ำค่านิยมที่อาจไม่เปิดรับความแตกต่าง ทั้งที่สังคมตะวันตก เขาให้คุณค่ากับปัจเจกและความหลากหลายมากกว่าการยึดโยงแบบกลุ่มพวกเดียวกัน
ปัญหาของความรักและเทิดทูนต่อสถาบันที่ล้นเกิน จนอาจเรียกได้ว่า คลั่ง ได้ทำลายความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายในสังคม และทำร้ายผู้เรียนที่คิดหรือประพฤติต่างออกไปจากกรอบของสถานศึกษา มีหลายกรณีที่นักเรียนไทยได้แสดงจุดยืนที่แตกต่าง ต่อต้านกฎระเบียบของโรงเรียน หรือเปิดโปงเรื่องด้านลบของสถาบัน แทนที่การแก้ไขปัญหาจะเกิดขึ้น กลับกลายเป็นว่า โรงเรียนเลือกที่จะไล่ล่า และใช้อำนาจในการกำราบความเห็นต่างเหล่านั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากระบบการประเมินแบบราชการที่เป็นห่วงชื่อเสียงของโรงเรียน มากกว่าสวัสดิภาพของผู้เรียนเอง
ทั้งชื่อเสียง เกียรติยศ ความรัก และสายเลือด ถูกเชิดชูในบทเพลงมาร์ชให้อยู่เหนือกาละ และเทศะ (Time & Space) สายเลือดที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการสืบทอดเกียรติภูมิ แต่การสืบทอดนั้นจะยาวนานเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับว่านักเรียนสามารถประพฤติตนให้สมกับศักดิ์ศรีของสถาบันได้แค่ไหน ความบริสุทธิ์ของเลือดจึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้สืบทอด
ในมุมหนึ่ง รศ.เมลดา ชวนขบคิดกับอุปลักษณ์เช่นนี้ เพราะคลับคล้ายกับแนวคิดเรื่องสายเลือดของ แวมไพร์ ที่เกียรติยศของตระกูลถูกส่งต่อผ่านเลือด และเลือดจะคงความบริสุทธิ์ไว้ได้ก็ต่อเมื่อผู้สืบทอดสามารถรักษาคุณค่าที่ถูกกำหนดไว้ ตลอดกาล

เพลงมาร์ช ปลุกใจ แล้วเราต้องสู้กับใคร ?
คำว่า พวกเรา คือ ถ้อยคำที่ปรากฏมากที่สุดในบทเพลงมาร์ชทั้ง 136 เพลง มันไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นของการนิยามอัตลักษณ์ แต่ยังกลายเป็นการปิดประตูไม่ให้อัตลักษณ์อื่น ๆ ปรากฏร่วมในพื้นที่เดียวกันอีกด้วย ในทางภาษาศาสตร์เชิงวิพากษ์ การสร้างความหมายมักอิงกับแนวคิด Binary Opposition เช่น เมื่อเรารับรู้ว่าผู้หญิงชอบสีชมพู เราก็จะนึกได้ว่าผู้ชายควรอยู่ตรงข้ามกับสีชมพู
หรือเมื่อเราพูดถึง ความเป็นไทย เราอาจนิยามมันไม่ได้อย่างชัดเจน แต่เรามักรู้แน่ว่าอะไร ไม่ใช่ไทย ความเป็นไทยจึงถูกสร้างขึ้นจากการกีดกันอัตลักษณ์ที่ไม่พึงประสงค์ และคงเหลือไว้เฉพาะสิ่งที่ถูกมองว่าดีงามเท่านั้น กระบวนการแบบนี้คือกลไกทางความคิดที่สมองใช้เพื่อแยกแยะโลก และมักถูกนำมาใช้ซ้ำในการจัดวางตำแหน่ง เรา และ เขา อย่างแนบเนียนในทุกระดับของสังคม ไม่เว้นแต่เพลงมาร์ช
รศ.เมลดา ยังยกตัวอย่างว่า เมื่อเพลงมาร์ชพูดถึงพวกเรา อย่างสูงส่ง สมองเราก็จะเริ่มนิยาม พวกเขา ว่าเป็นสิ่งที่ตรงข้ามโดยอัตโนมัติ กระบวนการนี้ คือ จุดตั้งต้นของ อคติ และการเหมารวม โดยเฉพาะในเด็กที่จะเรียนรู้เร็วว่า สังคมเรามีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เมื่อพวกเรา ถูกพรรณนาอย่างสง่างาม เต็มไปด้วยนามธรรมเชิงบวก เช่น เกียรติยศ, เชิดชู, สง่า, เทิดทูน ซึ่งแทบจับต้องไม่ได้ แต่ชวนให้ยกระดับตนเองให้เหนือกว่าคนอื่น ในขณะเดียวกันภาพของพวกเขา ก็จะปรากฎขึ้นได้โดยง่าย และถูกวางไว้ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าโดยไม่รู้ตัว
เพลงมาร์ชของโรงเรียนมีรากมาจากเพลงทหาร จึงเต็มไปด้วยอุปลักษณ์ของการต่อสู้ เช่น “จงลุกขึ้นมา”, “อย่าขี้ขลาด”, “อย่ากลัว” โดยเฉพาะในโรงเรียนชายล้วน ที่เพลงมักเน้นความกล้าหาญแบบทหาร ซึ่งสอดรับกับอุดมการณ์ความเป็นชายอย่างชัดเจน
ขณะที่แนวคิด ความสามัคคี ก็ถูกตีความผ่านกรอบของการแข่งขัน ไม่ใช่ความสามัคคีที่ชักชวนให้ผู้อื่นร่วมมือกัน แต่เป็นการรวมกลุ่มของพวกเรา เพื่อไปต่อสู้กับพวกเขา ซึ่งไม่ชัดด้วยซ้ำว่าเป็นใคร ?… แต่ถูกวางไว้ในตำแหน่งของฝ่ายตรงข้ามเสมอ เช่น ในกิจกรรมกีฬาที่โรงเรียนเครือเดียวกันแข่งกันเอง แทนที่จะสร้างพันธมิตร กลับเน้นการแบ่งขั้วว่าพวกเขาคือศัตรู
“เพลงมาร์ชบอกให้เราต้องสู้กับ เขา เขานี่คือใครก็ไม่รู้นะ แต่เราต้องสู้“
เพลงมาร์ชจำนวนไม่น้อย ยังมีถ้อยคำที่ปลูกฝังความรุนแรง ในทำนองว่า “หากใครมาข่มเหงศักดิ์ศรีโรงเรียน เราต้องลุกขึ้นสู้” แนวคิดเช่นนี้ทำให้เด็กซึมซับวาทกรรมแบบสงครามตั้งแต่ยังเล็ก การที่เด็กถูกปลูกฝังให้เชื่อว่า เรา คือเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันที่ต้องปกป้องกันและกัน การแบ่งขั้ว เรา-เขา (us versus them) อาจกลายเป็นรากของความขัดแย้งในอนาคต มากกว่าการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและเคารพความแตกต่าง
รศ.เมลดา ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า การถ่ายทอดวาทกรรมเช่นนี้ซ้ำ ๆ จะยิ่งตอกย้ำให้เด็กไทยเคารพผู้อื่นน้อยลง มองไม่เห็นว่ามนุษย์มีทั้งด้านดีและด้านที่ไม่สมบูรณ์ การเชื่อโดยสนิทใจว่าโลกนี้มีเพียงแค่ขาว-ดำนั้น ไม่เพียงนำไปสู่การตีตราผู้อื่น แต่ยังนำไปสู่การไม่ให้โอกาสและด้อยค่าตัวเอง

เพลงมาร์ช บ่งบอกอัตลักษณ์พื้นถิ่น
หัวข้อก่อนหน้านี้เราพูดถึงตัวตนของนักเรียนที่ถูกประกอบสร้างผ่านอุดมการณ์ของสถาบันการศึกษา ส่วนในหัวข้อนี้ จะขยับมาพูดถึง การใช้อัตลักษณ์ของชุมชนยึดโยงกับตัวผู้เรียนเอง เพลงประจำโรงเรียนในต่างประเทศหลายแห่ง มักเลือกใช้สัญลักษณ์จากท้องถิ่นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน-ชุมชน-โลกภายนอก ตัวอย่างเช่น เพลงของโรงเรียนมัธยมฮิบิยะ โรงเรียนมัธยมสาธารณะแห่งแรกของโตเกียว ซึ่งกล่าวถึงภูเขาไฟฟูจิและต้นแปะก๊วย โดยใช้ภาพของธรรมชาติเหล่านี้เป็นอุปลักษณ์แทนการเติบโตและการเดินทาง เพื่อให้นักเรียนได้เห็นภาพของตนเองในโลกที่กว้างใหญ่และเชื่อมโยงกับผู้คนที่หลากหลาย
ผู้จัดทำฐานข้อมูลเพลงมาร์ชของสถานศึกษาในประเทศไทย ยังเล่าจากประสบการณ์ในการรับแต่งเพลงมาร์ชให้กับโรงเรียนต่าง ๆ มากว่าสิบปี โดยระบุว่า ความโดดเด่นของเนื้อเพลงในแต่ละภูมิภาคมีความหลากหลายและสะท้อนบริบททางสังคมของแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน ดังนี้
- ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง
โรงเรียนในภูมิภาคนี้จำนวนมากตั้งอยู่ในพื้นที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ดินของวัด พระภิกษุผู้มีอุปการะคุณจึงมักถูกกล่าวถึงในเนื้อเพลง รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชุมชนที่ชาวบ้านเคารพบูชา โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับวัดและพระสงฆ์ จะเน้นความเคารพต่อผู้อุปการะคุณและคุณธรรมทางพุทธศาสนา - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะพิเศษของเพลงมาร์ชโรงเรียนในภาคอีสานโดยเฉพาะระดับประถม คือการสะท้อนอัตลักษณ์ชุมชนผ่านชื่อหมู่บ้าน โดยหลายโรงเรียนตั้งชื่อตามชื่อหมู่บ้านที่อยู่ในเขตบริการ และนำชื่อชุมชนเหล่านั้นมาเรียงในเนื้อเพลง ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของให้กับชาวบ้านในพื้นที่ด้วย - ภาคเหนือ
โรงเรียนประถมศึกษาในภาคเหนือมักตั้งอยู่ในพื้นที่พหุวัฒนธรรม มีชนเผ่าหลายกลุ่มอาศัยอยู่ร่วมกัน เช่น กะเหรี่ยง ม้ง ไทยใหญ่ ฯลฯ โรงเรียนเหล่านี้มักนำชื่อชนเผ่าหรือวัฒนธรรมเฉพาะของแต่ละกลุ่มมาใช้ในเพลงเพื่อแสดงความเคารพและสร้างความภาคภูมิใจในความหลากหลายของชุมชน แต่สำหรับโรงเรียนมัธยมในภาคเหนือ กลับพบว่าน้อยมากที่จะเน้นเรื่องอุดมการณ์เกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เนื้อเพลงมักเน้นไปที่ความสามัคคีหรืออัตลักษณ์เฉพาะของโรงเรียนแทน - ภาคใต้
ภาคใต้มีจุดเด่นในเรื่องการใช้ภาษาที่เฉพาะเจาะจงและคมชัดในเนื้อเพลง เช่น โรงเรียนเวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี ใช้ถ้อยคำที่แปลกใหม่และแข็งแรง นอกจากนี้ ในพื้นที่ที่มีประชากรสองศาสนา เช่น พุทธและอิสลาม โรงเรียนหลายแห่งนำคำที่สื่อถึงการอยู่ร่วมกันของสองศาสนาใส่ไว้ในเนื้อเพลงด้วย เช่น ในจังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช ซึ่งถือเป็นความตั้งใจที่จะสร้างความสมานฉันท์และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
บทส่งท้าย: เพลงมาร์ชที่แสนดี กับเด็กไทยที่ดีไม่พอ ?
เราต้องยอมรับว่าเนื้อหาของเพลงมาร์ชโรงเรียนในปัจจุบัน ไม่ได้สะท้อนถึงประสบการณ์จริงของชีวิตและโลกความเป็นจริงที่เด็ก ๆ เผชิญอยู่ เพลงเหล่านั้นมักถูกออกแบบให้เต็มไปด้วยถ้อยคำที่สวยงามอย่าง เกียรติภูมิ, ศักดิ์ศรี, คุณธรรมดีเลิศ แต่กลับจับต้องไม่ได้ในชีวิตจริง สิ่งที่เกิดขึ้นคือเด็กคนหนึ่ง ต้องถูกบังคับให้ปรับตัวเองเป็นคนที่ดีเลิศที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง แต่เพื่อให้เขาถูกนับเป็นหนึ่งในสมาชิกของสถาบันที่เขาอาศัยอยู่ เมื่อการเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าถูกยึดโยงกับสถาบัน หากไม่มีสถาบันนั้นแล้ว เขาจะดีกว่านี้ไปเพื่อใครกัน ?
ทั้งที่ในความเป็นจริง การเป็นตัวเองที่ดีกว่า ไม่ได้จำเป็นต้องทำเพื่อคนอื่นเสมอไป และการเติบโตไม่ต้องมองหาความสมบูรณ์แบบตลอดเวลา หากแต่เด็กคนหนึ่ง เขาเติบโตขึ้นจากการเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด ความโกรธ ความเศร้า การสำนึกรู้ และการตั้งต้นใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบตลอดชั่วชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง

สำหรับ รศ.เมลดา ยอมรับว่า กังวลในสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อเด็กจำนวนไม่น้อยมีแนวโน้มที่จะรับมือกับคำวิจารณ์ในเชิงลบได้น้อยลง ความล้มเหลวแม้เพียงเล็กน้อยก็มักถูกมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ จนถึงขั้นสูญเสียคุณค่าในตัวเอง ทั้งที่ธรรมชาติของการเรียนรู้ การเติบโตมักจะมาจากจุดที่ไม่สมบูรณ์แบบเหล่านั้น
ปัญหานี้อาจสะท้อนถึงสภาพการศึกษาไทยที่ยังคงยึดมั่นอยู่กับความสูงส่งในอุดมคติแบบเดิม ๆ โดยไม่เปิดพื้นที่ให้กับเรื่องราวของมนุษย์ที่ต้องล้มลุกคลุกคลาน และกล้าที่จะเรียนรู้เมื่อผิดพลาด
เพราะนักเรียนต่างจากทหารอาชีพ พวกเขายังเป็นเยาวชน ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้ตัวเองผ่านความล้มเหลวนับไม่ถ้วน และโรงเรียนก็ไม่ใช่โรงฝึกทหาร สถานศึกษายังต้องมีบทบาทในการอนุญาตให้เยาวชนเขาผิดพลาดได้ และเรียนรู้จากการเป็นผู้แพ้
คำว่า ดีเลิศ ในบทเพลงจึงมักถูกนำเสนออย่างโดดเดี่ยว แยกขาดจากการเดินทางของชีวิต ไม่มีเรื่องราวของการพยายาม ไม่มีร่องรอยของการผ่านอุปสรรค ไม่มีคำถามว่า เขาผ่านอะไรมาบ้างก่อนจะประสบความสำเร็จ ? ทั้งที่ในความเป็นจริง ชีวิตของคนเราถูกหล่อหลอมจากกระบวนการเหล่านั้น รศ.เมลดา เน้นย้ำว่า การที่เรามุ่งเน้นเฉพาะผลลัพธ์ปลายทาง ทำให้ผู้เรียนและสถานศึกษามองข้ามกระบวนการ หากเปรียบเทียบกับเพลงมาร์ชของโรงเรียนในโลกตะวันตก เราจะเห็นว่าเขาจะเลือกใช้การเดินทาง เป็นหัวใจสำคัญในการเล่าเรื่อง เพื่ออธิบายว่าชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง มีผู้คนร่วมเดินทาง มีการพบพานและการจากลา
ถึงตรงนี้ข้อมูลเพลงมาร์ชของโรงเรียนประจำจังหวัด กำลังสะท้อนปรัชญาทางการศึกษาไทย และทำให้เรามองเห็นว่า รัฐไทยกำลังมองเห็นนักเรียนเป็นใครกัน ? เห็นโรงเรียนเป็นสิ่งใดแน่ ?
คำถามเหล่านี้ไม่ควรจบลงด้วยการแต่งเพลงใหม่ให้เก๋ไก๋ แต่เราควรต้องถกถามกันต่อไปว่า จะทำอย่างไร ? ให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ความแตกต่าง และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่ไม่เหมือนตนเองได้ ไม่ใช่การมุ่งเน้นให้ทุกคนต้องเหมือนกัน เดินเหมือนกัน หรือคิดเหมือนกัน
ตรงกันข้าม ความเข้าใจในความแตกต่างและการอยู่ร่วมกันในสังคมแห่งความหลากหลายต่างหาก คือ หัวใจสำคัญของการเรียนรู้และการเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย