กระแสชาตินิยม กลับมาเป็นที่พูดถึง และถกเถียงในโลกออนไลน์อีกครั้งตลอดเวลากว่า 2 สัปดาห์มานี้ จากกรณีเหตุปะทะระหว่างทหารไทย และ ทหารกัมพูชา เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 28 พ.ค. 68 บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งเหตุการณ์นั้นเกิดความสูญเสียขึ้นกับทหารกัมพูชา

เรื่องราวที่ชายแดนช่องบก กลายเป็นปมร้อนบนโลกโซเชียลในช่วงเวลาแค่ข้ามคืน มีความพยายามเสนอการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา หลายวิธี ภาคประชาชนบางส่วนเสนอให้ใช้ #สันติสู่ชายแดน และ #NoWarThaiCambodia เพื่อเน้นย้ำสันติวิธี – ต่อต้านการใช้กำลังทหาร
แต่ไม่ใช่แค่ภาคประชาชนเท่านั้นที่ใช้โลกออนไลน์แสดงความเห็น ยังรวมถึงกองทัพไทย สถาบันทางการทหารซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวโดยตรง ได้เชิญชวนให้ติด #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เพื่อส่งกำลังใจให้กับทหารสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องชายแดนในสมรภูมิที่กำลังร้อนระอุในเวลานั้น
การใช้แฮชแท็กดังกล่าวของทางกองทัพและภาคประชาชน ทำให้เกิดการพูดถึงกรณีข้อพิพาทชายแดนในหลายแง่มุม ทั้งการ รบไม่ขลาด และการแก้ปัญหาอย่าง สันติ ไม่ว่าจะสนับสนุนทหาร รักชาติ พร้อมทำสงคราม ด่ารัฐบาล เชียร์รัฐประหาร รวมไปถึงต้านสงคราม หยุดปฏิวัติ ย้ำสันติวิธี ผลเสียของสงคราม และอันตรายของการคลั่งชาติ
ท่ามกลางอคติต่อประเทศเพื่อนบ้าน กระแสชาตินิยมที่ยังรุนแรง และข้อพิพาทที่ยังไม่สิ้นสุด The Active ชวนดูลำดับเหตุการณ์และเสียงสะท้อนต่อแนวทางแก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านการใช้โลกออนไลน์เป็นเครื่องมือช่วงชิงความเห็นพ้อง และถกเถียงความเห็นต่าง
ลำดับเหตุการณ์ :
แคมเปญแฮชแท็กประชันบนโลกออนไลน์
The Active รวบรวมลำดับเหตุการณ์ที่มาที่ไปของผุดแคมเปญโลกออนไลน์ ดังนี้
วันที่ | รายละเอียด |
28 พ.ค. 2568 | เกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 คน |
1 มิ.ย. 2568 | เริ่มมีการให้กำลังใจทหารและแม่ทัพภาคที่ 2 ผ่าน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด |
4 มิ.ย. 2568 | แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ระบุ ‘ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด’ วันนี้ขอเลือกสันติวิธี ยืนยันมีความพร้อมหากเกิดเหตุไม่คาดคิดภาคประชาชน เช่น เพจ socialgaze. เริ่มรณณรงค์ให้ติดแฮชแท้ก #สันติสู่ชายแดน #NoWarThaiCambodia และ #សន្តិភាពដល់ព្រំដែន เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างไทย-กัมพูชา |
5 มิ.ย. 2568 | เพจ กองทัพบก Royal Thai Army เชิญชวนคนไทยติด #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ระบุว่าเพื่อเป็นกำลังใจแก่ทหารไทย พบว่ามีคนดังจำนวนมากช่วยกระจายข่าวนี้ เช่น บัวขาว บัญชาเมฆ รวมถึงมีสื่อที่ใช้แฮชแท็กนี้ควบคู่ในการรายงานข่าวทะลุแก๊ซ – Thalugaz เชิญชวนติดแฮชแท็ก #สันติสู่ชายแดน #NoWarThaiCambodia และ #សន្តិភាពដល់ព្រំដែន เรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่ ต่อต้านการใช้กำลังทหาร เรียกร้องทั้งสองฝ่ายลดความตึงเครียด และขอความร่วมมือไม่สนับสนุนการยกระดับความรุนแรง ซึ่งอาจนำมาสู่สงคราม |
6 มิ.ย. 2568 | ถือเป็นวันที่ #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ได้รับยอดเอ็นเกจเมนต์สูงที่สุด มีการแชร์เพลงบ้านเกิดเมืองนอน และข่าววัยรุ่นกัมพูชาเหยียบธงไทย ปลุกกรระแสความรักชาติและสร้างความเกลียดชังต่อคนกัมพูชากองทัพไทย ลงโพสต์ ARMY ส่งด่วน ล้อเลียนมาจากซีรีส์ สงครามส่งด่วน บางคอมเมนต์ระบุว่าเห็นด้วยให้รบ และอยากให้ทหารยึดอำนาจนักการเมืองเพื่อปกครองประเทศแทน |
โดยจะเห็นว่าวันที่ 6 มิ.ย. 68 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ได้รับความสนใจมากที่สุด ก่อนจะค่อย ๆ ลดลงตามเวลา แม้การพูดถึงจะลดน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่า กระแสชาตินิยมในแต่ละคนจะลดน้อยลงตาม

ส่องคำสะท้อน จาก 2 ฝั่งแฮชแท็ก
จากการสำรวจเสียงสะท้อนบนโลกออนไลน์ ผ่าน Zocial Eye (เครื่องมือ Social Listening) ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. – 10 มิ.ย. 68 พบว่าข้อความส่วนใหญ่มีการพูดถึงบน Facebook เป็นหลักที่ 70.10% รองลงมาคือ TikTok ที่ 10.77% และอื่น ๆ ที่ 19.13% โดยพูดถึงรวม 70,218 ข้อความ และได้รับยอดเอ็นเกจเมนต์ (ยอดกดดู ไลก์ แชร์ และคอมเมนต์รวมกัน) ทั้งหมด 11,717,063 เอ็นเกจเมนต์
โดยแบ่งออกเป็น #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ซึ่งมียอดเอ็นเกจเมนต์สูงถึง 11,304,372 เอ็นเกจ ในขณะที่ #สันติสู่ชายแดน มียอดเอ็นเกจเมนต์ 480,479 เอ็นเกจ ถือว่าจำนวนค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ภาพรวมโลกออนไลน์ ยังแบ่งประเด็นที่พูดถึงแต่ละแฮชแท็กอย่างชัดเจน แม้จะมีหลายคำที่ใช้เหมือนกัน แต่กลับมีการใช้ในบริบทการพูดถึงในแง่มุมที่แตกต่างกัน โดยมีคำที่ถูกพูดถึงเป็นจำนวนมาก ดังนี้
ทหาร : ส่งกำลังใจให้ vs ต่อต้านการใช้กำลัง
เพจ กองทัพบก Royal Thai Army ระบุสาเหตุของการเชิญชวนให้ติด #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด คือ การส่งกำลังใจให้ทหารไทย รวมถึงมีคนดังจำนวนมากสนับสนุนทหารไทย
ในขณะที่ #สันติสู่ชายแดน เน้นย้ำถึงการต่อต้านการใช้กำลังทหารในการแก้ปัญหาข้อพิพาท
นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการ ปฏิวัติ และ รัฐประหาร โดยทหารในช่วงเวลาที่ผ่านมา ระบุว่า ทหารมีหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง ไม่ใช่บริหารประเทศ นอกจากนี้ยังมีการเตือนถึงการตกเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) จากทหารของทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา
เขตแดน : พร้อมปกป้อง vs ชีวิตมนุษย์มาก่อน
ใน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด กองทัพไทยส่งสัญญาณความพร้อม ที่จะปกป้องอธิปไตย-ชายแดน

ในขณะที่ฝ่าย #สันติสู่ชายแดน ย้ำเตือนผ่านรูปว่า “เขตแดนเป็นเรื่องสมมติ ชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องจริง” ให้นึกถึงชีวิตของผู้บริสุทธิ์ ชาวบ้านในพื้นที่เป็นสำคัญ
นอกจากนี้ยังตั้งคำถามถึงการที่กองทัพจงใจเชิญชวนติด #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ขึ้นมา เนื่องจากเหตุการณ์อื่น ๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีการเชิญชวนเช่นนี้ เช่น กรณีชายแดนใต้ ไม่พบกระแสทหารแบบนี้ หรือกรณีเมียนมารุกล้ำน่านฟ้าไทย ก็ไม่ได้มีการตอบสนอง แต่พอเป็นกรณีชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมีกระแสรักชาติ พร้อมรบจากกองทัพไทย
สันติ : ใช้กำลังก่อน vs สันติวิธีและมาตรการตอบโต้
วันที่ 4 มิ.ย. 68 แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุ ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด วันนี้ขอเลือกสันติวิธี มีการเตรียมพร้อมทุกด้าน
อย่างไรก็ตามใน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด มีการพูดถึงทางออกของปัญหาข้อพิพาทชายแดน ออกเป็น 2 ทาง คือ มองว่าต้องใช้กำลังก่อน ในขณะที่บางส่วนมองว่า ใช้สันติวิธีควบคู่มาตรการโต้ตอบ
เช่น บัณฑิต คำสีเมือง อดีตแนวหน้าทหารพราน สมรภูมิช่องบก ออกมาแสดงความคิดเห็นในรายการคนดังนั่งเคลียร์ โดยมองว่า การเจรจาสันติกับกัมพูชาไม่ได้ผลแล้ว เพราะว่ากัมพูชาละเมิดเอง เป็นคนฉีกสัญญาเอง อยากให้ลุยอย่างเดียว ได้พื้นที่แล้ว ค่อยมาเจรจากัน โดยมีหลายความเห็นไปในทางเห็นด้วย
อีกด้านมองว่า เห็นด้วยกับการเจรจาอย่างสันติวิธี และไม่ใช้กำลัง แต่มีข้อเสนอแนะอื่น ๆ ถึงนายกฯ เช่น ควรยืนยันว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่ของกัมพูชา รวมถึงมีมาตรการตอบโต้อื่น ๆ รวมถึงการกดดันทางการทหาร
ในขณะที่การใช้ #สันติสู่ชายแดน เน้นย้ำถึงการใช้สันติวิธีแก้ปัญหา โดยยกเสียงสะท้อนของชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนว่าต้องการการเจรจาอย่างสันติและไม่ต้องการสงคราม

สงคราม : จริงหรือไม่ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่สนับสนุนสงครามเหมือนกัน ?
แม้เพจ กองทัพบก จะโพสต์ข้อความในวันที่ 6 มิ.ย. 68 ว่า การติด #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เป็นการสนับสนุนทหาร ไม่ใช่การสนับสนุนสงคราม แต่เพื่อเตรียมความพร้อมปกป้องอธิปไตยของประเทศ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า จากกระแสชาตินิยมที่เกิดขึ้น มีบางคอมเมนต์ที่มีท่าทีเห็นด้วยกับการให้รบกับหรือมีสงคราม หรือระบุว่าถ้ารบแล้วก็ต้องจัดให้หนัก
ในขณะที่ผู้ใช้ #สันติสู่ชายแดน บางส่วนมองว่า การที่กองทัพบกเชิญชวนให้ใช้ #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เป็นหนึ่งในกระบวนการให้ประชาชนกระหายสงครามเสียเอง
ทั้งนี้ยังย้ำเตือนถึงผลกระทบของสงคราม ผ่าน #สันติสู่ชายแดน เช่น อย่าสร้างความชอบธรรรมให้สงคราม, สงครามไม่ได้สวยงาม หรือ ผลกระทบที่ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนต้องหาที่หลบภัย หาทางอพยพ สูญเสียหลายอย่าง ทั้งที่คนทั้ง 2 ฟากไม่ได้เกลียดชังกัน

ชาตินิยม : กระแสรักชาติ vs อย่าลืมความเป็นมนุษย์
การใช้ #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ถือเป็นเครื่องมือการปลุกกระแสความรักชาติและชาตินิยมที่ได้ผลชั้นดี เห็นได้จากยอดเอ็นเกจเมนต์จำนวนมหาศาล รวมไปถึงการที่คนดัง-คนบังเทิง จำนวนมากออกมาโพสต์สนับสนุนและให้กำลังใจทหารไทย เช่น อำพล ลำพูน, ศรราม เทพพิทักษ์, ปนัดดา วงศ์ผู้ดี
วันที่ 3 มิ.ย. 68 เพจ กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุขอบคุณพี่น้องที่รักชาติ เชื่อว่าทหารจะปกป้องไม่ให้เสียดินแดนได้
พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในสมัยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา โพสต์ข้อความ มองว่าในอดีตรัฐบาลเป็นคนปลูกฝันให้คนรักชาติ แต่ตอนนี้กลายเป็นประชาชนที่ลุกขึ้นมาปลุกรัฐบาลให้ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า เตือนรัฐบาลหากไม่มีมาตรการที่ชัดเจน จะยิ่งโหมกระพือกระแสชาตินิยม ยุให้คนรบกัน
ทางฝั่ง #สันติสู่ชายแดน เตือน การปลุกกระแสรักชาติอาจนำไปสู่การใช้อำนาจทหารปกครองบ้านเมือง อย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มปลุกกระแสความคลั่งชาติเพื่อให้ตัวเองได้อำนาจ อย่าคิดว่าการเปิดศึกคือการรักชาติ และเน้นย้ำว่ารักชาติได้ แต่อย่าลืมความเป็นมนุษย์
รัฐประหาร : ไม่ติดถ้าปฏิวัติ vs ต่อต้านรัฐประหาร
การปลุกกระแสชาตินิยมก่อให้เกิดกระแสที่อาจจะเกิดรัฐประหารจากกองทัพตามมา ยิ่งเมื่อกองทัพบกเป็นผู้เชิญชวนให้ติดแฮชแท็กด้วยตัวเองแล้วนั้น บางคอมเมนต์แสดงความเห็นที่เห็นด้วยกับการให้ทหารยึดอำนาจ แล้วปกครองประเทศแทนนักการเมือง บางส่วนมองว่า “ต้องไล่รัฐบาลก่อนไล่ทหารเขมร” เพราะรัฐบาลอ่อนแอและขัดขวางการทำงานของทหารตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม มีการพูดถึงกระแสการเรียกร้องรัฐประหารจากหลายฝ่าย เช่น ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ระบุไร้สัญญาณรัฐประหาร อย่ายั่งยุปลุกคลั่งชาติ
พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุ ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลพยายามฉวยโอกาสอยากให้เกิดรัฐประหาร โดยมองว่าไม่ได้มีเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหาร การยึดอำนาจที่ผ่านมาไม่ได้ตอบโจทย์ประเทศ และรัฐบาล-กองทัพยังเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในขณะที่ฝ่าย #สันติสู่ชายแดน มองว่า สงครามและรัฐประหารไม่ใช่ทางออก ต่อต้านการทำรัฐประหารเพราะไม่ก่อผลประโยชน์ให้กับประชาชน มีแต่ความเสียหายและการสูญเสีย และประเทศเดินถอยหลัง

กระแสชาตินิยม : อาจไม่ผิด ? ถ้าเรียนรู้ สร้างสรรค์ และอยู่ร่วมกันได้
กระแสที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์อาจนำมาสู่คำถามที่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ ? ที่หลายคนเลือกที่จะให้ค่ากับการเกิดสงครามมากกว่าสันติ เกิดจากอคติถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนาน ทั้งประวัติศาสตร์ที่เราเรียน หรือแม้กระทั่งสื่อต่าง ๆ ซึ่งฉายซ้ำเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามระหว่างประเทศมาอย่างยาวนานจนทำให้เกิดความเกลียดชังหรืออคติต่อชนชาติอื่น
โดยเฉพาะสำหรับประเทศกัมพูชา ที่มีการถกเถียงบนโลกออนไลน์มาอย่างยาวนาน เช่น กรณีเมื่อ สงกรานต์ปี 2567 มีการมองว่าคนกัมพูชา “ขโมยวัฒนธรรม” และมีบางส่วนใช้คำดูถูกเหยียดหยามประเทศกัมพูชาด้วยคำว่า “เคลมโบเดีย” ก็สะท้อนให้เห็นการแบ่งแยกหรืออคติเหมารวมต่อคนกัมพูชา
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ ย้ำในบทความ ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ข(ล)าด เรื่อง ‘ชาติ’ ต้อง ‘นิยม’ ให้ถูกทาง ที่มองว่า สำนึกของความเป็นชาติก็มีข้อดี คือ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยรู้สึกว่าขณะนี้ชาติกำลังประสบปัญหา หรือคนในชาติกำลังประสบปัญหา หลายคนก็จะรู้สึกว่าต้องช่วยเหลือกัน ทุกคนเป็นพี่น้องกัน จึงต้องมีความเอื้ออาทรต่อกันและกัน มีความเจ็บร้อนแทนคนที่เป็นชาติเดียวกับเราเช่นเดียวกับหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งหากจะใช้ประโยชน์จากการมีความเป็นชาตินิยมของคนไทยได้ จะต้องตระหนักด้วยว่าเราจะสามารถนำความเป็นชาตินิยมมาเป็นพลังและใช้ในทางบวกได้
เช่นเดียวกับ ผศ.นภารัตน์ กรรณรัตนสูตร สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวใน The Active Podcast EP.217 ชาติ-ศาสนนิยม กับดัก ความกลัว ความเป็นอื่น ว่า การผลิตซ้ำภาพเหล่านี้ก็ไม่ได้ผิดซะทีเดียว เพียงแต่ภาพเดิม ๆ ที่ฉายให้สังคมนั้น ควรทำให้เห็นว่าบทเรียนระหว่างการทำสงครามระหว่างประเทศมีผลเสียหรือแย่อย่างไร มากกว่าที่จะบอกว่าทำไมประเทศนี้ทำลายบ้านของตัวเอง
ผศ.นภารัตน์ ยังบอกอีกว่า ชาตินิยมไม่ผิดที่ใช้เมื่อมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกอยากปกป้องประเทศชาติ แต่ก็อย่าลืมว่าเราต้องใช้ความเป็นชาตินิยมอย่างสร้างสรรค์ และทำให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้

นักเรียนกัมพูชาในไทย : ภาษีคนไทย vs ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
กระแสชาตินิยมไม่ได้อยู่แค่ในมิติของการเมืองเท่านั้น แต่ยังกระทบในมิติอื่น ๆ เช่น มิติการศึกษา จากกรณีโลกออนไลน์ตั้งคำถามถึงข่าวนักเรียนกัมพูชาไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งหรือปิดด่าน เนื่องจากเป็นนักเรียนที่เข้ามาเรียนในฝั่งไทย โดยมองว่าเด็กเหล่านี้ใช้ภาษีคนไทยในการเรียน เรียนแล้วก็ไม่ได้ช่วยพัฒนาบ้านเรา
นอกจากนั้นยังตั้งคำถามถึงเรื่องการให้การศึกษาแก่เด็กข้ามชาติไม่ใช่เรื่องใหม่ The Active เคยพูดคุยกับ ผศ.นภารัตน์ ถึงประเด็นดังกล่าวเช่นกัน โดยระบุว่า ความกลัวว่าการให้การศึกษาแก่เด็กข้ามชาติ แล้วเด็กเหล่านี้จะมาแย่งงานเด็กไทยนั้นเป็นความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อย ทั้งที่ในความเป็นจริง เด็กเหล่านี้มักไม่มีสถานะทางกฎหมาย และขาดโอกาสตั้งแต่ต้น ซึ่งหากเรามองเด็กเหล่านี้ในฐานะ “เด็กของโลก” ไม่ใช่ของชาติใดชาติหนึ่ง จะช่วยให้เราปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพและเท่าเทียม และหากเขาได้รับการศึกษาและเติบโตขึ้นมา เขาก็สามารถเป็นแรงงานที่สร้างสรรค์สิ่งดีให้กับสังคมได้ โดยไม่ลดทอนโอกาสของใคร
การให้สิทธิ์แก่พวกเขาจึงไม่ใช่การลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนไทย แต่คือการยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคงในระดับมนุษย์ (human security) รัฐควรมีนโยบายที่เปิดโอกาสให้ทุกคนในประเทศไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดใด ได้ร่วมพัฒนาประเทศ และปรับโครงสร้างกฎหมายให้ตอบรับกับสิทธิเหล่านี้ ทั้งด้านแรงงาน การศึกษา และสวัสดิการ เพื่อให้ทุกคนสามารถมีชีวิตที่มีคุณค่าในสังคมเดียวกัน