ภาคประชาสังคม ชี้ เป็นยาสำคัญรักษาโควิด-19 หลังพบคำขอบริษัทฟูจิฟิล์ม แนะ องค์การเภสัชฯ ผลิตราคาถูกกว่าครึ่ง
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2564 นิมิตร์ เทียนอุดม ผอ.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) และ กลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์ ได้หารือร่วมกับ วุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา รองอธิบดีกรมฯ ผู้อำนวยการกองสิทธิบัตร ผู้อำนวยการกองกฎหมาย เพื่อหารือให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งพิจารณายกคำขอสิทธิบัตรยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งเป็นยาสำคัญในการรักษาโรคโควิด-19
“ในประเทศไทย ยาดังกล่าว ไม่เคยมีคำขอสิทธิบัตรโครงสร้างหลักของยา ในต่างประเทศมีแต่หมดสิทธิบัตรไปตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้จีนสามารถผลิตยาชื่อสามัญได้ แต่ในประเทศไทยกลับมี คำขอเลขที่ 11010001988 ของ บริษัท ฟูจิฟิล์ม สูตรเม็ดยาแบนและผงกรานูเลทต์ เป็นแค่การตอกอัดเม็ดให้เล็กเพื่อสะดวกแก่การกิน อีกทั้งยังเขียนคำขอไว้อย่างกว้างและครอบคลุมไปหมด ซึ่งถือเป็นลักษณะของคำขอสิทธิบัครแบบ evergreening ไม่มีความใหม่และไม่มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงชึ้น กรมทรัพย์สินทางปัญญา จึงควรเร่งพิจารณาและยกเลิกคำขอสิทธิยัตรดังกล่าว เพราะผู้ขอได้ยื่นตรวจสอบการประดิษฐ์แล้ว เพื่อเปิดให้ผู้ผลิตยาชื่อสามัญในไทยสามารถผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าได้ ความล่าช้าในการพิจารณาของกรมจะทำให้คนไทยเสียโอกาส”
ปัจจุบัน กรมควบคุมโรค สั่งซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ เม็ดละ 125 บาท ผู้ป่วยโควิด-19 หนึ่งรายต้องใช้ครบคอร์ส คอร์สละ 50 เม็ด บางรายอาจจะต้องใช้ถึง 2 คอร์ส มีรายงานข่าวแจ้งว่า สถาบันวิจัยและพัฒนาขององค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยาตัวนี้ได้แล้วในราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่ง จะทำให้หนึ่งคอร์สการรักษาจาก 6,250 บาท ลดลงต่ำกว่า 3000 บาท
ด้าน อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า จะเร่งพิจารณาด้วยความรอบคอบ และการปฏิเสธหรือรับคำขอจะมีคำอธิบายที่ชัดเจน เข้าใจความห่วงใยของภาคประชาสังคม แต่ก็อยากให้ทางองค์การเภสัชกรรมลองเจรจากับทางฟูจิฟิล์มเพื่อขอผลิต
ผศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระะวังและพัฒนาระบบยา ระบุว่า สำหรับยาตัวนี้ ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องไปทำสัญญาร่วมผลิตกับฟูจิฟิล์ม เนื่องจากคำขอฯดังกล่าว ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับสิทธิบัตรตามมาตรา 9 ของ พ.ร.บ.สิทธิบัตร จึงอยากให้ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งพิจารณาเพื่อประโยชน์ของการสาธารณสุขไทย ที่ขณะนี้เริ่มมีผู้ป่วยในระลอกใหม่เพื่มมากขึ้น ๆ และที่ผ่านมา สำนักสิทธิบัตร ประเทศอินเดีย ก็ได้ยกเลิกคำขอฯ นี้ จนสามารถผลิตยาชื่อสามัญของฟาวิพิราเวียร์ได้แล้ว ทั้งนี้ ด้วยขีดความสามารถขณะนี้ องค์การเภสัชกรรม ก็สามารถผลิตยาชื่อสามัญนี้ได้เช่นเดียวกัน จะทำให้ประเทศไทยสามารถประหยัดงบประมาณค่ายาลงได้มากกว่าครึ่ง ไปใช้ในความจำเป็นด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ภาคประชาสังคมจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด