ถามนายจ้างแรงงานข้ามชาติพร้อมช่วยหรือไม่ ด้าน “หมอโสภณ” ชี้ วัคซีนยังมีจำกัด ต้องให้ลำดับความสำคัญทั้งพื้นที่เสี่ยงและกลุ่มเสี่ยงไปพร้อมกัน ไม่สามารถทุ่มที่สมุทรสาครได้ทั้งหมด
เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2564 ที่ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จ.นนทบุรี การประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดหาและการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีแนวคิดการฉีดวัคซีนกับแรงงานข้ามชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดสมุทรสาครว่า หากมีช่องทางใดให้แรงงานกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนก็เห็นด้วย หากจะทำให้คนไทยทั้งประเทศปลอดภัยด้วยกันทั้งหมด ส่วนจะใช้เงินจากส่วนไหนไปจัดซื้อวัคซีนให้เฉพาะกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ให้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยคิด แต่กลุ่มนายจ้างจะสามารถช่วยส่วนนี้ได้ไหม เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการใช้แรงงานจากกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
สำหรับนโยบายการบริหารจัดการวัคซีนให้กับประชากรภายในประเทศ รมว.สธ. ระบุว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะให้ทุกคนบนแผ่นดินไทยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ตามความสมัครใจ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อได้ นักลงทุน นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจ ซึ่งคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ มีมติเห็นชอบลำดับกลุ่มเป้าหมายตามที่คณะทำงานผู้เชี่ยวชาญกำหนดแผนการให้วัคซีนฯ กำหนดไว้ 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต รักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ทั้งภาครัฐและเอกชน, ผู้มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน, ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย
ระยะที่ 2 ช่วงที่มีวัคซีนเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่นอกเหนือจากด่านหน้าเจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสซื้อโควิด 19 ผู้ประกอบอาชีพที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก และผู้ที่มีโอกาสสัมผัสผู้เดินทางระหว่างประเทศ และ ระยะที่ 3 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณเพียงพอ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากร และฟื้นฟูให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ฉีดให้กับประชาชนทั่วไป
ด้าน นายแพทย์โสภณ เมฆธน ประธานคณะกรรมการอำนวยการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโควิด 19 เปิดเผย กับ The Active ว่า กรณีวัคซีนหากดูในเรื่องของผลการศึกษา ทั้งในประเทศอังกฤษและบราซิล จะเน้นดูในเรื่องของการป้องกันไม่ให้เกิดอาการป่วยรุนแรง โดยวิธีการทดลองฉีดวัคซีนเป็น 2 กลุ่ม หนึ่ง เป็นยาหล่อ สอง เป็นวัคซีนจริงแล้ว แล้วดูว่ามีอาการไหม กลุ่มฉีดวัคซีนก็ป่วยน้อยกว่า แต่นักวิจัยไม่ได้ไปดูในเรื่องของการลดการแพร่โรค เพราะเร่งรัดใช้ไม่ให้ป่วย นี่เป็นหลักของผู้เชี่ยวชาญที่เน้นจุดนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อวัคซีนล็อตแรกมาถึง จึงเน้นไปที่ กลุ่มแรก บุคลากรที่อยู่ด่านหน้าไปรักษาแล้วต้องอย่าป่วย เพื่อให้ระบบมันเดินหน้าไปได้ กลุ่มที่ 2 เป็นเรื่องของบุคลากรส่วนอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วย เช่น อสม. อยู่ที่ด่านชายแดน ไปจนถึงผู้ที่ทำหน้าที่ในพื้นที่สมุทรสาครก็เป็นส่วนหนึ่ง
เมื่อถามถึงแนวทางตัดวงจรการระบาดในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครว่า ควรจัดลำดับความสำคัญให้ได้รับวัคซีนก่อน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน เป็นแห่งแรกทั้งหมดดีหรือไม่ นายแพทย์โสภณ บอกว่า ทางวิชาการอธิบายว่าไม่ควร เพราะวัคซีนโควิด 19 ไม่ได้ช่วยลดการแพร่โรค แต่ก็อาจมีแนวคิดจากทั้งนักวิชาการที่เห็นด้วยก็น่าจะมีผล ระงับการระบาดเนื่องจากมุ่งเน้นที่แหล่งเกิดโรคของประเทศไทย
“อันนี้ก็ขึ้นกับว่าใครจะเชื่อทางไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าวัคซีนมาเยอะ ๆ มันก็ดำเนินการได้ แต่ในขณะที่วัคซีนมาน้อย ต้องมี priority ในการเรียงลำดับความสำคัญ ถ้าเกิดทุ่มหมดที่สมุทรสาคร เกิดโรงพยาบาลอื่นที่รักษาคนไข้อยู่ใน กทม. นี่คือสิ่งที่ต้องพิจารณา เพราะฉะนั้น เราจึงต้องดูทั้งกลุ่มเสี่ยงคนที่ได้รับการปกป้อง แล้วก็พื้นที่ เพราะถ้าวัคซีนมาน้อย ไปทุ่มที่สมุทรสาครทั้งหมด คนดูแลคนไข้อยู่ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ทำอย่างไร จะตอบเขาอย่างไร”
นายแพทย์โสภณ กล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาที่สมุทรสาครตอนนี้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขลงมาบัญชาการเอง โรงพยาบาลสนามยังจำเป็น และยังจำเป็นต้องมีการค้นหาผู้ป่วย ต้อง isolation หรือแยกคนที่ป่วยออกมา นี่คือยุทธศาสตร์ ที่ดำเนินการอยู่
แหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า แผนการจัดหาและฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมทุกคนในประเทศไทย ทั้งแรงงานข้ามชาติสัญชาติต่าง ๆ ที่ประชุมได้พิจารณาถึงเรื่องงบประมาณเช่นเดียวกัน เพราะกรณีคนไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพตามสิทธิอยู่แล้ว ส่วนแรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองถูกกฎหมายนั้น ก็ไม่มีปัญหา เพราะมีงบประมาณจากประกันสังคม ประกันสุขภาพรองรับอยู่ แต่ที่ยังมีปัญหาอยู่ คือ แรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย ตรงนี้เป็นหน้าที่ของกรมควบคุมโรคที่ต้องดูแล อาจต้องของบประมาณกลางเพิ่ม แต่เรื่องนี้คิดว่า ควรต้องให้นายจ้างเป็นคนรับผิดชอบหรือไม่