แนะ ภาคประชาชนระดับท้องถิ่น กำหนดนโยบายสาธารณะ ตรวจสอบนักการเมือง ห่วงโครงสร้างรัฐราชการทับซ้อนอำนาจท้องถิ่น ยกตัวอย่าง EEC เมินผลกระทบชุมชน
เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2564 รศ.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา หนึ่งในนักวิชาการที่ศึกษาพัฒนาการของโครงสร้างอำนาจท้องถิ่นในภาคตะวันออก ในเชิงเศรษฐศาสตร์การเมือง ระบุว่า จากการศึกษาวิจัยการเมืองท้องถิ่นตามหลักรัฐศาสตร์สามารถแบ่งได้ 3 รูปแบบ คือ 1. โครงสร้างของสถาบันการเมืองและการปกครอง 2. การบริหารจัดการของท้องถิ่น และ 3. การเมืองของท้องถิ่น ซึ่งตนศึกษา
พบว่าส่วนมากเป็นรูปแบบของสัมปทานอำนาจ 4 ปี จากผ่านการเลือกตั้ง โดยนำรูปแบบหลักคิดของเศรษฐศาสตร์การเมือง มาใช้ในการวิเคราะห์ เห็นได้ว่ามีการลงทุน เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้งที่ต้องทำให้ชนะคู่แข่งให้ได้ เพื่อเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในองค์กรท้องถิ่นอย่างเทศบาล แบ่งเป็นเทศบาลตำบล, เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร โดยเทศบาลเมืองและเทศบาลนคร จะได้รับการจัดสรรงบประมาณไม่ต่ำกว่าปีละ 150 ล้าน -170 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการสร้างฐานการเมืองระดับชาติ รวมทั้งการสะสมต้นทุนทางสังคมด้วยการสร้างความเชื่อมั่นและความศรัทธาจากคนในชุมชนไปพร้อมกัน
“อย่างไรก็ตามตระกูลนักการเมือง ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะในต่างประเทศก็มีเช่นกันมีข้อดีคือการบริหารงานต่อเนื่อง และมีคอนเน็กชันในการแก้ไขปัญหาจากเครือข่าย แต่ข้อเสียคือขาดการตรวจสอบและถ่วงดุล”
รูปแบบการเลือกตั้งเทศบาลจะแบ่งเป็นการเลือกนายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาเทศบาล ซึ่งในการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะหาเสียงให้ประชาชนเลือกนายกฯ พร้อมกับทีมงานแบบยกทีม ซึ่งเป็นการสื่อสารทางการเมืองของฝ่ายนักการเมืองที่อ้างว่าจะทำให้เกิดความรวดเร็วในการบริหารงาน ซึ่งเป็นการบิดเบือนความจริง ของกลไกสภา ที่ต้องการเลือกสมาชิกสภาเทศบาลอย่างหลากหลายเพื่อเข้าไปตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า การให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องเกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่นมีน้อยมาก และประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจ โดยเฉพาะอีกประเด็นหนึ่งก็คืออำนาจหน้าที่ของเทศบาลในการแก้ไขปัญหาเมือง เพราะนับว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการจัดการขยะ น้ำเสีย การจราจร รวมไปถึงมลพิษทางอากาศ ล้วนเป็นหน้าที่ในการจัดการและแก้ปัญหาของเทศบาลทั้งสิ้น นับเป็นกระบวนการประชาธิปไตยจากฐานราก ที่ควรจะสร้างความเข้าใจให้เข้มแข็ง ก่อนจะไปพูดถึงประชาธิปไตยในระดับชาติ
หาเสียงด้วย “นโยบาย” คือ พัฒนาการของการเมืองท้องถิ่น
รศ.โอฬาร บอกว่า การเลือกตั้งปัจจุบันเห็นพัฒนาทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่น ที่มีการกำหนดนโยบายขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียง ต่างจากอดีตที่ใช้ความสนิทสนม และความคุ้มเคย แต่นโยบายที่นำมาใช้หาเสียงนั้น จะทำได้จริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะปัจจุบันมักพูดถึงนโยบายเกี่ยวกับ Smart City ทุกอย่าง Smart ไปหมด ติดกับดักทางภาษาซึ่งในสมัยก่อนจะใช้คำว่า แบบบูรณาการ ทุกอย่างเป็นบูรณาการไปหมด
แต่การกำหนดนโยบายหาเสียงก็ถือเป็นสัญญาประชาคม ระหว่างนักการเมืองและประชาชน ที่จะต้องทำหลังได้รับการเลือกตั้งเข้ามา งานวิจัยก็ชี้ว่านักการเมืองออกแบบนโยบายมาเพื่อการหาเสียงในระบบประชาธิปไตยทางอ้อม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระบบประชาธิปไตยที่ดี ควรจะเป็น ระบบประชาธิปไตยแบบคู่ขนาน คือมีระบบประชาธิปไตยทางตรงคู่กันไป จากความเคลื่อนไหว หรือเวทีภาคประชาชนในการกำหนดนโยบายสาธารณะ ให้นักการเมืองเป็นผู้ปฏิบัติตาม ซึ่งหลายชุมชนในระดับเทศบาลไม่มีความเข้มแข็งมากพอที่จะสร้างประชาธิปไตยทางตรงในการกำหนดนโยบายสาธารณะเอง มีบางพื้นที่เท่านั้น ซึ่งประชาธิปไตยทางตรง จากความเข้มแข็งของภาคประชาชนหรือกลุ่ม Active citizen นอกจากจะช่วยกำหนดนโยบายให้ครอบคลุมทั่วถึงไปในคนทุกกลุ่มของสังคมแล้ว ยังช่วยตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของนักการเมืองด้วย
“รัฐราชการ” ทับซ้อนอำนาจท้องถิ่น ภาคตะวันออก
รศ.โอฬาร บอกอีกว่า สำหรับการเมืองท้องถิ่นในภาคตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษหรือ EEC มีโครงสร้างของรัฐราชการที่ทับซ้อน กับการบริหารงานส่วนท้องถิ่น คือมีหน่วยงานที่มีอำนาจใหญ่กว่าในการกำหนดนโยบายสาธารณะ และองค์กรที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน เหมือนอย่างเทศบาล ทำให้ขาดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน อย่าง คณะกรรมการ EEC ที่ตั้งขึ้นมาตาม พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 มีอำนาจหน้าที่ใหญ่กว่าผู้ว่าราชการจังหวัด และใหญ่กว่า อบจ. ใหญ่กว่าเทศบาล ทำให้ปัญหาและผลกระทบของชุมชนไม่ถูกรับฟังและเมินเฉย สิ่งนี้เป็นปัญหาสำคัญที่จะต้องแก้ไขเชิงโครงสร้าง และเปิดทางให้ท้องถิ่นได้แก้ไขปัญหาของคนท้องถิ่น โดยมีอำนาจหน้าที่จัดการตนเอง มากกว่าอำนาจรวมศูนย์