หวั่น นำไปสู่ทางตันของกระบวนการสันติภาพ ชี้ ไม่มีทางเลือก ต้องเผชิญหน้า ปกป้องดินแดนและพลเรือน ขอ “ประชาคมโลกและไทย” ช่วยเหลือและคุ้มครองด้านมนุษยธรรม หากพลเรือนกะเหรี่ยงต้องหนีภัย
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2564 สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU – Karen National Union) เขตมือตรอ รัฐกะเหรี่ยง (กอทูเล) ออกแถลงการณ์ของเขต มือตรอ/กองพลที่ 5 ต่อสาธารณชน ประณามการโจมตีทางอากาศโดยใช้อากาศยานโจมตีต่อพลเรือนกะเหรี่ยง หมู่บ้านดีปู่โหน่ ของทหารเมียนมา ที่ทำให้พลเรือนกะเหรี่ยงเสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บอีก 8 คน และส่งผลให้พลเรือนกะเหรี่ยงราว 10,000 คน พยายามหลบหนีเข้ามายังประเทศไทย พร้อมระบุว่า ไม่มีเหตุผลใด ที่จะเข่นฆ่า ทำร้าย และข่มขวัญผู้บริสุทธิ์รวมทั้งผู้หญิง ผู้สูงอายุ และเด็กในยามวิกาล
สาระสำคัญในแถลงการณ์ระบุอีกว่า แม้มีข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศเมียนมา (Nationwide Ceasefire Agreement : NCA) แต่กองทัพเมียนมาได้ขยายกําลังทหารในดินแดนกะเหรี่ยงหลายแห่ง เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดกลัวและการพลัดถิ่น นอกจากนั้น ทหารเมียนมายังเดินหน้าก่อสร้างถนนทางทหารและส่งกองกำลังทหารเพิ่มเข้ามาในรัฐกะเหรี่ยงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เคเอ็นยู ยังมองเห็นการรุกรานทางทหารมานานแล้ว ว่าอาจนำไปสู่ทางตันของกระบวนการสันติภาพ และมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัย และความมั่นคงของพลเรือนของตนเอง จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ร้ายแรงเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นโดยกองทัพของรัฐบาลทหารนอกกฎหมาย และเพื่อปกป้องดินแดนด้วยสิทธิตัดสินใจของตนเอง จึงขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ รวมทั้งรัฐบาลไทยให้ความช่วยเหลือและความคุ้มครองด้านมนุษยธรรมที่จําเป็นแก่ประชาชนของเคเอ็นยู ที่หลบหนีจากการโจมตีของทหารเมียนมาในเวลานี้
“เราขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ อย่าให้การยอมรับรัฐบาลทหารนอกกฎหมายนี้ และตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับพวกเขา รวมถึงความสัมพันธ์ทางทหารและเศรษฐกิจ ประชาคมระหว่างประเทศ ควรกดดันให้ทหารเมียนมาฟาสซิสต์ยุติการใช้อาวุธทางทหารต่อพลเรือนโดยทันที ซึ่งถือเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”
ขณะที่เช้าวันนี้ (31 มี.ค.) สำนักข่าว The Reporters ระบุว่า สถานการร์ล่าสุด มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา หรือ ผภสม. ที่พักอาศัยอยู่บริเวณริมแม่น้ำสาละวิน ในเขตประเทศไทย ที่บริเวณอุทยานท่าตาฝั่ง อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ได้เริ่มเดินทางกลับไปประเทศเมียนมาทั้งหมดโดยความสมัครใจ ด้วยเรือยนต์ขนาดกลาง จำนวน 5 ลำ จำนวน 56 คน และยังมีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาที่ยังตกค้าง 2 จุด อยู่บริเวณริมแม่น้ำสาละวิน ใกล้กับฐานออเลาะ 180 คน และบริเวณหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าไม้บ้านผาแดง 21 คน โดยส่วนใหญ่เป็นเด็ก สตรี คนชรา และคนป่วย ซึ่งกำลังเตรียมที่จะเดินทางกลับไปยังฝั่งเมียนมาต่อไป