ภาคประชาสังคมเดินหน้าเรียกร้องรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นระบบขนส่งมวลชนในราคาที่ทุกคนขึ้นได้ 25 บาทตลอดเที่ยว รองปลัดคมนาคม ระบุ กทม. ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลต้นทุน-รายได้
เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2564 วงเสวนาผ่าทางตันค่าโดยสาร BTS ที่อาคารรัฐสภา เสียงสะท้อนจากประชาชนที่ใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ยังคงเห็นตรงกันว่ามีค่าโดยสารที่แพงเกินไป ต้องการให้รัฐบาลควบคุมราคาให้ต่ำลง เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ จากผลกระทบทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 โดยสภาองค์กรของผู้บริโภคเสนอราคารถไฟฟ้าสายสีเขียวควรอยู่ที่ 25 บาทตลอดสาย
สรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียก กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC เข้าพูดคุยถึงปัญหาสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว และการคิดค่าโดยสารใหม่ควรอยู่ที่ราคาเท่าไร่ โดยกระทรวงคมนาคมใช้ข้อมูลคาดการณ์รายได้และจำนวนผู้โดยสารเท่ามีอยู่ คำนวณดูแล้วพบว่าราคาที่เหมาะสม ควรอยู่ที่ 49.50 บาท ตลอดเที่ยว ขณะที่ กทม. เสนอราคาอยู่ที่ 65 บาท โดย กทม. ยังไม่สามารถให้คำตอบใน 8-9 ประเด็นที่กระทรวงฯ สงสัย ซึ่งตอนนี้ กทม. ตอบกลับเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น มีการส่งเพียงเอกสารร่างสัญญาเข้ามาให้ ส่วนประเด็นอื่น ๆ ไม่มีการตอบกลับ และขอไม่เปิดเผยว่าประเด็นที่ยังติดค้างอยู่มีอะไรบ้าง
ด้าน จิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ โฆษกกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค เห็นว่า ค่าโดยสารที่แพง แม้จะยังไม่สามารถระบุเหตุผลได้ เนื่องจากกรุงเทพฯ ไม่ยอมเปิดเผยต้นทุนและกำไรที่แท้จริง แต่ถึงอย่างนั้น หากครบอายุสัมปทานในปี 2572 ก็ไม่ควรที่จะต่อสัมปทานให้กับเอกชนเจ้าเดิม แม้เอกชนรายนั้นจะเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างรางรถไฟฟ้า เพราะปัจจุบันก็เข้าสู่จุดคุ้มทุนของการลงทุนก่อสร้างไปแล้ว และที่เหลือคือกำไรที่เอกชนได้รับมาโดยตลอด จึงไม่ควรต่อสัญญาสัมปทานและให้รถไฟฟ้าตกเป็นทรัพย์สินของรัฐ เพื่อกำหนดราคาที่ต่ำลงได้
สำหรับค่าโดยสาร BTS ที่ยังไร้ข้อสรุป ทำให้ต้องเลื่อนการเสนอวาระค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้าที่ประชุม ครม. ไปอีก ขณะเดียวกัน BTSC ก็เตรียมฟ้องเรียกค่าเดินรถส่วนต่อขยาย ที่วิ่งฟรีอยู่ในปัจจุบัน จาก กทม. กว่า 3 หมื่นล้านบาท เป็นที่มาที่ทำให้ กทม. มีข้อเสนอ ต้องการต่อสัญญาสัมปทานกับเอกชนเจ้าเดิมเพื่อแลกกับหนี้สินทั้งหมด โดยไม่สามารถลดค่าโดยสารลงมาได้
สำหรับข้อเสนอแก้ปัญหาสัมปทานและค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวแพง โฆษกกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค ระบุว่ามีแนวทาง ดังนี้
- เมื่อครบสัญญา พ.ศ. 2572 ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกกลับมาเป็นของรัฐ ไม่จำเป็นต้องรีบขยายสัมปทานให้เจ้าเดิม
- เมื่อครบสัญญา สามารถดำเนินการตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โดยไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44
- ควรทำสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ไปก่อนรอจนถึงปี 2572 ที่ส่วนสายสีเขียว หลังหมดสัมปทาน ค่อยดำเนินการปรับระบบการจัดการรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งระบบใหม่หมด
- ข้อมูลผู้ชี้แจงขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีหลักฐานการประชุมของคณะกรรมการเจรจา และหลักฐานทางการเงินที่ชัดเจน รวมถึงแหล่งที่มา
- สัญญาสัมปทานเป็นสัญญาทางปกครอง ควรเปิดเผยรายละเอียดของสัญญา
- ควรทบทวนอัตราค่าโดยสารทั้งระบบ ให้เหมาะสมกับรายได้ประชาชนผู้ใช้บริการ และเปรียบเทียบค่าโดยสารต่างประเทศที่มีระบบและรายได้ใกล้เคียงกับประเทศไทย