‘นักเศรษฐศาสตร์’ ชี้ รัฐบาลวางเป้าควบคุมพื้นที่เผา แต่ยังไปไม่ถึง หวั่น เกษตรกร รับเคราะห์ โรงงานลอยตัว แม้เป็นผู้ก่อมลพิษ ขณะที่ ‘นายกฯ’ ย้ำ ไม่นิ่งนอนใจ สั่งปรับมาตรการ ขึ้นรถไฟฟ้า-ขสมก. ฟรี 7 วัน หวังลดฝุ่นจากรถส่วนตัว
วันนี้ (24 ม.ค. 68) แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ระบุถึง สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่ยังเป็นที่น่ากังวล จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีมาตรการเร่งด่วนเพิ่มเติม เพื่อแก้ไขปัญหาระยะสั้น ขอให้ทุกหน่วยงานระดมสรรพกำลังแก้ไขฝุ่นควันทันที โดยเบื้องต้นให้รองนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะ ผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บริหารสถานการณ์ฝุ่นควัน และเร่งจัดตั้งศูนย์ที่ทำหน้าที่สื่อสารให้ข้อมูลกับประชาชน เพื่อให้คำแนะนำ ด้านการปฏิบัติตัวรวมถึงมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ ร่วมกับ รองนายกฯ ประเสริฐ จันทรรวงทอง ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ กำหนดมาตรการเฉพาะหน้า ที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชน และบรรเทาสถานการณ์ให้ดีขึ้นโดยเร็ว ขณะที่ในระยะสั้นได้ขอให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง พิจารณามาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาปัญหา
- ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชน ให้เจ้าหน้าที่และพนักงานสามารถทำงานแบบ WFH เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว สั่งการไปทางกระทรวงคมนาคมให้ สนับสนุน ยกเว้นค่ารถไฟฟ้า-ค่ารถเมล์ ภายใต้กำกับของรัฐเป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เพื่อลดปริมาณฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์
- กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เฝ้าดูอย่างใกล้ชิด หากมีความชื้นมากเพียงพอ ขอให้ปฏิบัติการฝนเทียมเจาะช่องบรรยากาศทั่วกรุงเทพฯ
- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบทุกพื้นที่อย่างใกล้ชิด หากพบเห็นการเผา ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายทันที
- กระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำเนินมาตรการ งดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้ และกวดขันโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันและปราบปรามเข้าตรวจสอบเป็นระยะ
- ขอความร่วมมือให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กวดขันรถควันดำโดยเคร่งครัด
- กระทรวงการต่างประเทศ หารือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมมือและให้ความช่วยเหลือในการลดปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดน
- กระทรวงสาธารณสุข ให้ สธ. ทั่วประเทศ คุมเข้ม 5 มาตรการ
- กระทรวงมหาดไทย กำชับให้ กทม. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ควบคุมการก่อสร้างในเขตพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันการปล่อย PM 2.5 จากไซต์งานก่อสร้าง รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดให้กับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรการดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการตามกฎหมาย กับ ผู้เผา
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำด้วยว่า ฝุ่นควัน คือ วาระแห่งชาติ รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจและจะเดินหน้า ทำทุกมาตรการให้เกิดผลโดยเร็ว
‘คมนาคม’ ให้ประชาชนใช้บริการรถไฟฟ้า-ขสมก.ฟรี 7 วัน
ผู้สื่อข่าว Thai PBS รายงานว่า สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุถึงข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้กระทรวงคมนาคม และส่วนงานราชการอื่นๆสนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ใน กทม. โดยตั้งแต่วันที่ 25 – 31 ม.ค. 68 กระทรวงคมนาคม จะให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า และ รถ ขสมก.ฟรี ซึ่งได้ประสานผู้ประกอบการกลุ่ม บีทีเอส, บริษัท ทางด่วน และ รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ว่า รัฐบาลจะมีมาตรการนี้ และพร้อมใช้งบกลางชดเชยประมาณ 140 ล้านบาท
“เชื่อว่าจะมีประชาชนมาใช้บริการเกิน 20-30% แต่หากครบ 7 วันแล้ว หากค่าฝุ่นยังไม่ลด จะประเมินอีกครั้ง ว่า จะขยายระยะเวลาออกไปอีกหรือไม่”
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
‘นักเศรษฐศาสตร์’ ชี้ ฝุ่นพิษ ปี 62 ทำเสียหาย 2.17 ล้านล้านบาท
กรณีที่ฝุ่นควันถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาตินั้น พบว่า ได้ถูกกำหนดขึ้นมาตั้งแต่ ปี 2562 โดยมีแผนงาน มาตรการต่าง ๆ เช่น ลดการเผาในพื้นที่ทั้งเกษตร และป่า มีตัวชี้วัด 3 ข้อ คือ
- จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ ลดลง
- จำนวนวันที่ปริมาณฝุ่นละออง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มขึ้น
- จำนวนจุดความร้อน ภายในประเทศลดลง
หรือเป้าหมายที่รัฐบาลเพื่อไทยวางไว้ เช่น ควบคุมพื้นที่เผาไหม้ ลดลง 25% จากปี 2567, เป้าหมายควบคุมพื้นที่เผาไหม้จากการเผาข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และอ้อยโรงงาน ตั้งเป้าให้ลดลง 10-30% จากปี 2567 ฯลฯ ก็ดูเหมือนจะทำไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ขณะที่ รศ.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประเมินว่า ปีนี้แนวโน้มของฝุ่นรุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่องค์การอนามัยโลก ให้ความสำคัญยกระดับความเข้มข้นของฝุ่นตั้งแต่ปี 2565 สะท้อนว่าฝุ่นเป็นปัญหาใหญ่ แต่มาตรการภาครัฐยังไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหา มีเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มาตรการเพื่อแก้ปัญหายั่งยืนยังทำน้อย และเน้นไปที่การแก้ปัญหาเชิงพื้นที่เล็ก ๆ ไม่ขยายเป็นวงกว้าง
“ข้อมูลปี 2562 ผลกระทบภาพรวม รวมมลพิษทุกแหล่งทั้ง ป่าไม้ ยานยนต์ อุตสาหกรรม ผลของค่าความสุข-สุขภาพของคนไทย ตีมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 2.17 ล้านล้านบาท หรือ 12% ของ GDP กทม.ติดอันดับมูลค่าความเสียหายสูงสุด 4 แสนล้านบาท รองลงมา คือ ชลบุรี ขอนแก่น เชียงใหม”
รศ.วิษณุ อรรถวานิช
สางมาตรการ ‘ห้ามเผา’ ไทยไม่มีกฎหมายกำกับ
‘เกษตรกร’ รับเคราะห์ ไร้โรงงานร่วมรับผิด ก่อมลพิษ PM 2.5
ดูเหมือนว่า ฤดูฝุ่นจะมาพร้อมกับ ฤดูกาลเก็บเกี่ยวของภาคการเกษตร โดยเฉพาะฤดูกาลเผาอ้อย เห็นได้จากปรากฎการณ์สั่งปิดโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี 1 ใน 6 โรงงานที่ฝ่าฝืนรับซื้ออ้อยเผาเข้าหีบมากเกินกำหนด 25% รับซื้ออ้อยไฟไหม้สะสมกว่า 43% หรือ กว่า 4 แสน 1 หมื่นตัน เป็นสาเหตุให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ชาวไร่อ้อย
แต่คนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดดูเหมือนจะเป็นเกษตรกร แม้จะรู้ว่าเผาอ้อยทำให้เกิดฝุ่นควัน แต่การตัดอ้อยสดมีข้อจำกัดด้านแรงงาน/ ค่าจ้างสูง สอดคล้องกับ รศ.วิษณุ ที่ให้สัมภาษณ์ไว้ใน รายการตรงประเด็น (24 ม.ค.68) ว่า คนตัดอ้อยสดได้ค่าแรงน้อย ตัดยาก คันตามผิวหนัง ขณะที่ การเผาและเก็บเกี่ยวอ้อยไฟไหม้ทำได้งายกว่า โดยเฉลี่ยแล้ว เกษตรที่ตัดอ้อยไฟไหม้ ได้ค่าแรงมากกว่าคนตัดอ้อยสด 150 บาท
แม้รัฐบาลจะมีการประกาศล่วงหน้า แต่โรงงาน และเกษตรกร ต้องปรับตัวซึ่งจากงานวิจัยของ รศ.วิษณุ พบว่า โรงงานในปัจุบันมี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบตั้งใจช่วยลดการเผา กับอีกประเภท คือ ทำเหมือนเดิม เพราะไทยไม่มีกฎหมายเข้ามาช่วยกำกับเรื่องการลดเผา
รศ.วิษณุ อธิบายว่า โรงงานที่ปรับเปลี่ยนจะเป็นโรงงานที่สนใจทิศทางของโลก และมาตรการกีดกันการค้า ขณะที่รสนิยมผู้บริโภคเริ่มใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่วนโรงงานที่ไม่ปรับตัวก็ไม่ควรได้รับประโยชน์ มาตรการปัจจุบันมีเพียงแค่ เกษตรกร ผู้เผาอ้อยเป็นผู้จ่าย ขณะที่โรงงานลอยตัว ในทางวิชาการเคยมีข้อเสนอให้ โรงงานช่วยรับผิดรับชอบ กรณีเป็นผู้ร่วมก่อมลพิษ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายข้อเสนอ เช่น
- ตัดอ้อยสด ได้ค่าตอบแทนมากกว่า อ้อยไฟไหม้ เพิ่มค่าแรง สร้างแรงจูงใจให้กับบรรดาเกษตรกร
- เพิ่มการเข้าถึงเครื่องจักร อุปกรณ์ โดย รัฐควรสร้างพื้นที่การเช่าเครื่องจักรกลที่มีมาตรฐาน
- รับซื้อใบอ้อย สร้างรายได้ เพราะปัจจุบันมีการรับซื้อเฉพาะในรัศมีใกล้ๆ ไร่อ้อย เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง
- รับซื้อเศษวัสดุการเกษตรเหลือใช้ เพื่อให้เกษตรกรเงินจากการขายฟางข้าว สร้างรายได้ เป็นต้น
แก้ PM 2.5 ยั่งยืน ‘มาตรการเฉพาะหน้า’ อย่างเดียวไม่พอ
รศ.วิษณุ ย้ำว่า ฝุ่นไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขกันภายในปีเดียว ลดการเผา เป็นมติ ครม.มาหลายครั้ง แต่ไม่เคยทำได้จริง เพราะ แผนการจัดการแก้ปัญหาฝุ่น ต้องมีวิสัยทัศน์ มีการวางระบบกลไกการตลาด การออกนโยบายส่งเสริมตลาดเช่าบริการเครื่องจักรกลการเกษตร การยกเว้นภาษี กำไร ผลประกอบการ ฯลฯ ซึ่งสามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลแก้ปัญหาเป็นจุดๆ ไม่ขยายผล และไม่ใช่โมเดลธุรกิจต่อยอดงบประมาณ
ขณะที่ ร่างกฎหมายอากาศสะอาด ที่ พิจารณาเนื้อหาไปแล้ว 7 หมวด จาก 10 หมวด โดยอาจจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาวาระที่ 2-3 กลางเดือน ก.พ. 68 และคาดว่าผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนปิดสมัยประชุมวันที่ 9 เม.ย. 68 ยังเป็นความหวังของการแก้ปัญหาฝุ่นพิษในประเทศไทย แต่สุดท้ายแล้ว กฎหมายที่บรรจุเนื้อหา มาตรการสำคัญในการแก้ฝุ่น ปกป้องสุขภาพของประชาชน สร้างระบบการจัดการอากาศที่มีประสิทธิภาพ จะมีแสนยานุภาพในการเปลี่ยนชีวิตคนไทยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการบังคับใช้จะทำได้จริงแค่ไหน
รศ.วิษณุ ทิ้งท้ายว่า การแก้ปัญหาฝุ่นจำเป็นต้อง กระจายอำนาจ มีหน่วยงานที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง และบูรณาการกับหน่วยงานอื่นได้อย่างเต็มศักยภาพ