นักวิจัยนโยบายสุขภาพ ชี้ คลัสเตอร์เรือนจำสะท้อนมาตรการล็อกดาวน์ไม่ช่วยคุมระบาดในสภาพชุมชนแออัด ด้าน ชูวิทย์ เสนอฉีดวัคซีนในคุก สร้างภูมิคุ้มกันหมู่
มาตรการล็อกดาวน์แต่เพียงอย่างเดียวอาจไม่ช่วยอะไรมากนักในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลระยะนี้ ?
คือคำถามที่ ผศ. นพ.บวรศม ลีระพันธ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและการจัดการสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งขึ้นเพื่อจะอธิบายการลุกลามของตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ยังไม่ลดลงแม้มาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่ดำเนินการมาเกือบครบ 14 วันแล้ววันนี้ (13 พ.ค. 2564)
ผศ. นพ.บวรศม ระบุว่า การพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากเป็นคลัสเตอร์ในเรือนจำ อาจชี้ให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามาตรการล็อกดาวน์เมืองแต่เพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่ “คำตอบสุดท้าย” ของการควบคุมโรคในสถานการณ์การระบาดระลอกนี้ (ซึ่งเราพบผู้ติดเชื้อภายในครัวเรือนหรือภายในชุมชนแออัดในสัดส่วนมากขึ้น) เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ผู้ต้องขังในเรือนจำก็คือ “คนที่ถูกล็อกดาวน์ในรูปแบบที่เข้มข้นที่สุด” ติดต่อกับคนภายนอกน้อยมาก และมี mobility ต่ำมาก เข้าออกเรือนจำเองไม่ได้เลย แต่พอมีผู้ต้องขังรายใหม่ที่ติดเชื้อหลุดเข้าไปในเรือนจำ ก็ยังติดกันแพร่เชื้อกันได้ภายในเรือนจำในเวลาที่รวดเร็ว
การล็อกดาวน์เมืองอาจช่วยลดการแพร่เชื้อในที่ทำงานและที่สาธารณะ แต่อาจไม่ช่วยลดการติดเชื้อภายในครัวเรือน เพราะเมื่อการระบาดลงไปในพื้นที่ซึ่งทำ social distancing ไม่ได้ เช่น ครัวเรือนในชุมชนแออัด หรือในเรือนจำ ล็อกดาวน์ไปก็คงไม่ช่วยอะไรมากนัก เราจึงไม่สามารถพึ่งมาตรการล็อกดาวน์แต่เพียงอย่างเดียวในการควบคุมโรคในระยะนี้ แต่ต้องเร่งการตรวจเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยง ติดตามเฝ้าระวังผู้สัมผัสโรค และแยกโรคออกมารักษาโดยเร็ว (test, trace, isolate: TTI)
เรามีความสามารถเพียงพอในการเร่งตรวจเชื้อเชิงรุกในชุมชน แต่ข้อจำกัดของระบบ TTI ในขณะนี้ คือถ้าตรวจเจอคนติดเชื้อมากก็ต้องมีมีเตียงโรงพยาบาลรองรับคนติดเชื้อที่มีจำนวนมากขึ้นด้วย ที่สำคัญต้องมีกำลังคนของทีมสอบสวนโรค (outbreak investigator) ที่เพียงพอที่จะติดตามค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดและเตรียมสถานที่เพื่อทำ quarantine ได้ทันเวลา เพื่อดับไฟตั้งแต่ต้นทาง
ชูวิทย์ เสนอ เร่งฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในคุก
สภาพในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กำแพงคุกสูง 7 เมตร มี 8 แดน เมื่อเข้าไปแดน 2 ซึ่งเป็นแดนแรกรับจะต้องนอนรวมในห้อง 40 ตารางเมตร อัดกันถึง 50 คน บางเรือนจำแน่นขนาดต้องผูกเปลนอน และช่วงเวลา 15.00 น. ถึง เช้า 06.00 น. รวม 15 ชม. เป็นเวลาต้องนอนในพื่นที่แออัด ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตผู้ต้องขัง เล่าย้อนถึงสภาพความจริงในคุก พร้อมเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ผู้คุมที่อาจต้องกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อด้วย
เอาเฉพาะเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ถนนงามวงศ์วานติดเชื้อแล้ว 1,795 คนจากทั้งหมด 3,238 คน คิดเป็น 55% และเชื่อว่าจากสภาพในเรือนจำที่แออัดกับการแพร่ระบาด จะต้องมีผู้ติดเชื้อมากกว่านี้ ขณะที่เรือนพยาบาลในเรือนจำเล็กมาก ๆ ไม่เพียงพอต่อการแยกกักหรือรักษา ส่วนการรับมือของรัฐบาลบอกเพียงว่า “เอาอยู่” จะใช้โมเดลแบบเรือนจำนราธิวาส บับเบิลแอนด์ซีล แต่ทำไมไม่คิดว่าถ้า worst Case scenario วิกฤตสุด ๆ จะทำอย่างไร ?
เมื่อถามถึงทางออกดูเหมือนไม่มีทางออกเพราะสถานะของคนกลุ่มนี้ คือนักโทษ แนวทางในการลดความแออัดในเรือนจำที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.กระทรวงยุติธรรม ดำเนินนโยบายให้ติดกำไลอีเอ็มมาก่อนหน้านี้ ก็ถือว่าเป็นทางออก แต่หากจะให้ทันสถานการณ์เร็วที่สุด คือการฉีดวัคซีนในคุกเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่วัคซีนที่ยังมีจำกัดจะสามารถแบ่งมาเพื่อตัดวงจรระบาดในคุกได้หรือไม่