NGO ไทยชี้ รัฐปัดฝุ่นผิดทาง: อากาศจะสะอาดได้ ต้องมีข้อมูล ต้องแก้ที่ต้นเหตุ

เปิดปัญหา ต้นตอมลพิษทางอากาศในเมือง ส่วนหนึ่งคือภาคอุตสาหกรรม ถึงแม้ พ.ร.บ.อากาศสะอาด จะบังคับใช้ไม่ทันปีนี้ แต่รัฐมีอำนาจในการแก้ปัญหาที่ต้นตอจริง ๆ ได้อย่างการเจรจากับภาคเอกชน และทำให้กฎหมายเรื่องมลพิษทางอากาศเข้มแข็งและครอบคลุมขึ้นในอนาคต

วันนี้ (26 ม.ค.2568) ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานครเวลา 07.00 น.ได้ในช่วง 45.4 – 82.2 มคก./ลบ.ม.เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีแดง มีผลกระทบต่อสุขภาพ 4 พื้นที่ คือ 1.เขตหนองจอก มีค่าเท่ากับ 82.2 มคก./ลบ.ม. 2.เขตลาดกระบัง มีค่าเท่ากับ 81.2 มคก./ลบ.ม. 3.เขตหนองจอก มีค่าเท่ากับ 78.6 มคก./ลบ.ม. 4.เขตบึงกุ่ม มีค่าเท่ากับ 77.0 มคก./ลบ.ม.

ทางออกของรัฐเป็นการแก้ที่ปลายเหตุหรือไม่

“ตอนนี้มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นในกรุงเทพหรือภาคเหนือเอง เราแก้ปัญหาด้วยการปิดโรงเรียน Work From Home ไม่ให้รถบรรทุกเข้ามา นโยบายเหล่านี้ แทนที่เราจะไปแก้ที่ต้นตอ กลับจำกัดสิทธิของคนที่ได้รับผลกระทบไปแทน เรากำลังแก้ปัญหาปลายทางซ้ำเดิมทุกปี”

ฝน รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ นักรณรงค์ของกรีนพีซประเทศไทย เปิดเผยกับ The Active ถึงการแก้ปัญหาฝุ่นในปัจจุบันว่า นี่หน่วยงานกำลังทำอยู่คือการจำกัดสิทธิของคนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษแทน 

รัตนศิริ ย้ำถึงการแก้ปัญหาที่ซ้ำซาก ทำกันมาหลายปี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราไม่มีข้อมูล และไม่รู้ว่าต้นตอของฝุ่นคืออะไร

“เราหวังพึ่งพาอากาศให้เปิด พึ่งพาลม เพราะตอนนี้เราไม่รู้ว่าฝุ่นนี้คืออะไร มาจากที่ไหน” 

รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์

การลดฝุ่นจากต้นตอ จากมุมมองนักรณรงค์ของกรีนพีซ คือการมีกฎหมาย PRTR และ ระบบการตรวจสอบย้อนกลับ

“PRTR จะทำให้เรามีข้อมูลการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมและโรงงาน และสามารถไปแก้ไขที่ต้นตอได้ อย่างที่กรุงเทพฯ มีโรงงานอยู่รอบ แถมยังมีโรงงานอุตสาหกรรมที่เกิดไฟไหม้หรือระเบิดบ่อยครั้งอีก” รัตนศิริ กล่าว

สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) เผยกับ The Active ว่า ยื่นร่าง PRTR เข้าไปตั้งแต่ 14 กุมภาฯ​ ปีที่แล้ว สำนักเลขารับแล้ว และตอนนี้มีการบรรจุ PRTR ในวาระตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม ปีที่แล้ว เป็นเวลาร่วมครึ่งปี 

“PRTR จะเข้ามาช่วยให้มีข้อมูล ให้แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น แต่ตอนนี้ PRTR ยังค้างพิจารณาอยู่ แต่ถ้ารัฐเห็นว่าเร่งด่วน ดึง PRTR ขึ้นมาพิจารณาแบบเร่งด่วนกันได้ ไม่ต้องรอเรียงตามวาระ”

“พอรับหลักการ ต้องผ่านวาระสอง วาระสาม มันก็ยังใช้เวลาเพราะมันเป็นเรื่องใหม่ ถึงแม้ว่าร่างกฎหมาย PRTR จะซับซ้อนน้อยกว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดก็ตาม ถ้าในมุมพี่ ภายในปีนี้ต้องรีบออกกฎหมาย PRTR เพื่อให้ทันใช้ในปีหน้า”

27 ม.ค.นี้ สุภาภรณ์ เผยว่าจะมีการออกแถลงการณ์ร่วมของสามองค์กร ในประเด็นถึงความจำเป็นที่จะต้องผลักดันกฎหมาย PRTR ต่อไป

ฐิติกร บุญทองใหม่ ผู้จัดการแผนงานของเสียและมลพิษอุตสาหกรรม มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) สนทนากับ The Active ถึงฝุ่นว่าเป็นปัญหาใหญ่ของไทย จริง ๆ มลพิษทางอากาศ เราต้องดูว่าในไทยมีอุตสาหกรรมประเภทไหนบ้าง หลัก ๆ คือ ไม่ว่าอุตสาหกรรมไหนที่มีการเผาไหม้ก็จะมีการปล่อยมลพิษออกมา มองฝุ่น PM ไทยติด 1 ใน 5 ของโลก ชัดเจนว่าไทยประสบปัญหาจริง ๆ

“ถามว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากอะไร หลายคนบอกทิศทางลม ลมจากจีน โดมความร้อนปกคลุม หรือกดฝุ่นทั้งหลายให้ไปไหนไม่ได้ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยประกอบ แต่ถ้าในเมืองหรือพื้นที่ใกล้เคียงไม่มีแหล่งกำเนิดฝุ่น ฝุ่นมันจะขนาดนี้เหรอ ไม่ว่าปัจจัยอะไรก็ตามต้องมาดูที่แหล่งกำเนิด”

ฝุ่นที่คลุมเมืองอยู่ตอนนี้ มาจากไหน?

ในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ได้มีการผลักดัน GDP ประเทศด้วยการมุ่งเน้นที่อุตสาหกรรม และหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ผลักดันคือโรงงานรีไซเคิล แม้จะช่วยลดปรมาณขยะลงก็จริง แต่โรงงานรีไซเคิลขยะเหล่านี้เป็นหนึ่งในตัวการหลักที่ปล่อยมลพิษ โดยเฉพาะฝุ่นควัน

“อ้างอิงจากนโยบายที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจ จะเห็นว่า GDP ประเทศมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรม มันก็ต้องมีการจัดการที่ดี เพราะอุตสาหกรรมก็มาคู่กับมลพิษอยู่แล้ว รัฐบาลชุดก่อนมีการส่งเสริม การลงทุนอุตสาหกรรมรีไซเคิลเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของชาติ แต่การรีไซเคิลนี้ก่อให้เกิดมลพิษสูงมากเพราะเกิดการเผาไหม้และเชื้อเพลิงที่นิยมใช้คือฟอสซิล”

มากไปกว่านั้น ฐิติกร ยกตัวอย่างโรงงานรีไซเคิลที่ไปโผล่แถวปราจีนบุรีในแผนแม่บทชาติ เป็นส่วนอุตสาหกรรมภาคตะวันออก เอากลุ่มรีไซเคิลไปอยู่ตรงนั้น ซึ่งคาดว่าไม่ได้ทำประชามติ พอมีอุตสาหกรรมรีไซเคิล ส่งผลร้ายแรง นอกจากฝุ่นควันแล้ว ยังกระทบเรื่องการลงทุนเถื่อนจากต่างประเทศหรือเรื่องแรงงานข้ามชาติ 

รัตนศิริ ตัวแทนจากกรีนพีซ ชี้เพิ่มเติมว่า ยังมีปัจจัยของภาคเกษตรและฝุ่นข้ามพรมแดนที่มากระทบอากาศไทยเพิ่มเติม

“ข้อมูลดาวเทียมชี้ว่า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นปัญหาเรื้อรังมา 20 ปี ข้อมูลบอกว่า จุดความร้อนเกิดขึ้น 41% ในพื้นที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถึงรัฐจะตกลงเรื่องยุทธศาสตร์ฟ้าใส แต่ยังประกาศนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ด้วยอัตราภาษี 0% ก็เห็นความย้อนแย้ง อยู่ ไม่เห็นการลงมืออย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือ ถ้าจะแก้ได้ ไทยต้องมีเจตนารมณ์ทางการเมืองอย่างแท้จริงที่จะเปลี่ยนนโยบาย”

หยุดฝุ่นได้ ตั้งแต่ปล่องควัน

“PRTR หรือ รายงานการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ มีหน้าที่ให้ผู้ปล่อยมลพิษ ใครก็ตาม เช่น โรงงานอุตสาหกรรม บุคคลทั่วไป ต้องรายงานในระบบ ซึ่งจะช่วยให้เราควบคุม ตรวจสอบได้ว่าปล่อยอะไรออกมา ปล่อยมาเยอะแค่ไหน พอเรารู้ข้อมูลตรงนี้ รัฐ คนแก้ปัญหาสามารถจัดการง่ายขึ้น สามารถดึงข้อมูลมาดูได้ว่า อุตสาหกรรมไหนที่ปล่อยมลพิษอย่าง PM2.5 สูง ก็สามารถเข้าไปจัดการ”

ฐิติกร เล่าให้ The Active ฟัง ถึงบทบาทหน้าที่ของกฎหมาย PRTR ถ้าหากเริ่มบังคับใช้ เอกชนหรือแม้แต่คนคนหนึ่งจะต้องรายงานการปล่อยมลพิษ​ทั้งทางดิน น้ำ และอากาศ ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งค่ามาตรฐานเพื่อควบคุมมลพิษตั้งแต่ต้นทาง

ในส่วน PRTR คือโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภทต้องรายงาน พอเค้าต้องรายงานตัวเลขที่เป็นจริง รัฐก็สามารถมาครอบดูค่ามาตรฐานปลายปล่องมาควบคุมอุตสาหกรรมอยู่ คุณต้องปล่อยให้อยู่ใต้มาตรฐาน PRTR มีการจัดการที่ดีขึ้น พอควบคุมต้นทางได้ สถานการณ์มลพิษก็น่าจะดีขึ้น

“ถ้าจะแก้เฉพาะหน้าตอนนี้ค่อนข้างยาก เราคุมอากาศไม่ได้ ถ้าจะหันไปคุมที่แหล่งกำเนิดในเมืองก็ต้องคุมอุตสาหกรรม ดูว่าในแต่ละปีอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีปัญหามลพิษทางอากาศ อย่างสมุทรปราการ สมุทรสาคร มีกำลังผลิตเท่าไหร่ ความต้องการมีเท่าไหร่ ต้องไปดูผลิตเกินกำลังรึเปล่า คงกำลังการผลิตไว้เพื่อต้นทุนที่จ่ายไปแล้วรึเปล่า หรือผลิตเพื่อส่งออก” 

ฐิติกร เสนอทางออกเบื้องต้น คือการให้รัฐสั่งชะลอการเดินเครื่องโรงงานในอุตสาหกรรมที่ไม่จำเป็น กับอีกทางเลือกหนึ่งคือการออกนโยบายจูงใจโรงงาน อย่างการชดเชยภาษี

หน่วยงานรัฐรู้อยู่แล้วว่าอุตสาหกรรมไหนยังไม่จำเป็น ให้ชะลอไปก่อนได้ไหม ลดกำลังผลิตก่อนได้ไหม หยุดเดินเครื่องรอผ่านช่วงวิกฤต เพราะรัฐบาลมีอำนาจต่อรอง เจรจากับภาคเอกชนได้

“ถ้าให้ภาคประชาสังคม เราไม่มีเม็ดเงินไปทดแทนสิ่งที่เขาจะเสีย อยากลองโยนไอเดีย ถ้าใช้ประเด็นระบบภาษีบางอย่างมาเกี่ยวข้อง ถ้าช่วยรัฐปล่อยมลพิษทางอากาศได้ลดหย่อนทางภาษี สิทธิพิเศษทางภาษีบางอย่าง อาจจะจูงใจให้เอกชนได้ เขาก็มองกำไรขาดทุน” ฐิติกร กล่าว

รากโคนของฝุ่นภาคเกษตรและข้ามพรมแดน

กฎหมาย PRTR จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลผู้ปล่อยมลพิษ รู้ว่าสารเคมีที่ถูกปล่อยออกมามีอะไรบ้าง และรัฐก็จะควบคุมการปล่อยมลพิษในภาคอุตสาหกรรมได้ แต่สำหรับประเด็นฝุ่นในภาคเกษตร รัตนศิริ นักรณรงค์ของกรีนพีซชี้ต่อว่า แม้จะมีนโยบายเรียกร้องลดพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่ก็ยังไม่บังคับใช้จริงจัง

“ต้องชื่นชมว่าในบางจุด ภาคเอกชนก็บังคับหยุดเผาได้สำเร็จแล้ว แต่บริษัทธุรกิจเนื้อสัตว์ก็อาจจะเป็นจำเลยสังคมต่อไปหากไม่เปิดเผยข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับนี้”

“ในด้านเศรษฐกิจ ตอนนี้ไทยผลิตส่งออกเนื้อไก่เป็นที่ 1 ของเอเชียและที่ 3 ของโลก และมีบริษัทไทยที่ผลิตอาหารสัตว์เยอะที่สุดในโลก”

“ส่วนภาคเกษตร การเผาในที่โล่ง จริง ๆ ก็เป็นเรื่องอุตสาหกรรมเหมือนกัน อุตสาหกรรมภาคเกษตรต้องเปิดเผยข้อมูล ไม่อย่างนั้นเราก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าอ้อยกับข้าวโพดมันเกี่ยวกับการก่อมลพิษมากแค่ไหน ถ้าไม่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ ส่งผลผลิตไปตามโรงงาน ก็ไม่รู้ว่าการเผามาจากไหนกันแน่”

ภาคส่วนเกษตรกรรมก็ยังต้องการการจัดการการเผาอีกมาก ทั้งเรื่องการตรวจสอบย้อนกลับ และนโยบายรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มาบางส่วนของฝุ่นข้ามพรมแดน 

รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ นักรณรงค์ กรีนพีซประเทศไทย

รัตนศิริ ยังฝากให้จับตามองหลังวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ที่จะเริ่มรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เข้ามาด้วยอัตราภาษี 0% ยาวไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมปีนี้ โดยสิ่งที่น่าสนใจคือจำนวนการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อัตราการผลิต จะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ และจะไปเพิ่มจุดความร้อน พื้นที่การเผาในที่โล่ง และก่อฝุ่นพิษเพิ่มอีกหรือไม่ 

ในส่วนนโยบายก็ยังต้องติดตามความคืบหน้าของ พ.ร.บ. อากาศสะอาด ที่ รัตนศิริ ชี้แจงว่า แม้จะเหมือนพยายามกำหนดให้มี PRTR แต่ล่าสุด ยังไม่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ แม้จะพยายามใช้หลักการ ผู้ปล่อยมลพิษต้องเป็นคนจ่าย หรือ Polluter Pays Principle แล้วก็ตาม

“ถ้าไม่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ คนที่ต้องมารับผิดคือคนใช้ไฟ คนที่เผา ก็คือคนตัวเล็ก ๆ เกษตรกร คนท้องถิ่น ถึงแม้ว่าการเผาทางการเกษตรจะเชื่อมโยงกับบริษัทใหญ่” 

การห้ามปรามการเผา ก็ควรถูกนำมาใช้พร้อมกับนโยบายสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่การไม่เผา ให้ประชากรหรือภาคเอกชนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านไม่มากเกินไป

รัตนศิริ พูดถึงการเปลี่ยนผ่านสู่การไม่เผาว่า “สิ่งสำคัญที่จะแก้ได้จริง ๆ คือรัฐต้องเปลี่ยนนโยบายสนับสนุนเกษตรกร เช่น เปลี่ยนเป็นสนับสนุนเกษตรกรรมเชิงนิเวศ เกษตรอินทรีย์ ผลไม้ หรืออะไรที่ไม่ต้องการเผา ผลิตผลพวกนี้ราคาสูงกว่าแต่ยังขาดกลไกทางการตลาด ไม่มีการประกันราคา”

ปัญหาและทางออก จากมุมสาธารณสุข

The Active ได้พูดคุยกับ ศ.เกียรติคุณ นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจ ภูมิแพ้และเวชบำบัดวิกฤต ถึงผลกระทบด้านสุขภาพจากฝุ่น

“ฝุ่นมันกระทบหลายด้านมากเลย เชื้อโรคตัวหนึ่งกระทบสุขภาพด้านสองด้านก็จบแล้ว อย่างเชื้อโควิด ก็ทำปอดอักเสบเป็นหลัก หรือเบาหวานทำให้ไตเสื่อม ติดเชื้อง่าย แต่ PM 2.5 มันกระทบหลายกลุ่มโรคมาก”

นพ.ชายชาญ เสนอแนวทางจัดการปัญหาฝุ่น โดยเสนอให้ภาครัฐเริ่มเห็นมูลค่าความเสียหายจากฝุ่น มองในมุมเศรษฐศาสตร์ “รัฐต้องคิดให้จบ เห็นการสูญเสียด้านสุขภาพอย่างมหาศาล ถ้ามองเกมตรงนี้ออกแล้วทุ่มเทงบฯ คน อุปกรณ์ ลดการเผาในแหล่งกำเนิดให้ชัดเจน สามปีห้าปีหลังสุขภาพจะดีขึ้น ค่าใช้จ่ายน้อยลง มันจะหักกลบกับงบการเผาในที่โล่ง”

นพ.ชายชาญ เล่าว่า กระทรวงสาธารณสุขเคยมีนโยบายก่อตั้งคลินิกมลภาวะ PM 2.5 ตามโรงพยาบาลชุมชนเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน แสดงให้เห็นถึงผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น 

“ฝุ่นก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งถ้าโรคพวกนี้ทำให้ใช้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และมันไม่ได้จ่ายครั้งเดียวจบ ใช้ยาใช้มาตรการมากขึ้น ต้องเพิ่มจำนวนเตียง ICU ห้องฉุกเฉินแน่นขึ้น ทำให้ระบบสาธารณสุขอาจจะล้นเกิน คุณหมอ พยาบาลทำงานเยอะขึ้น คุณภาพชีวิตลดลง”

นพ.ชายชาญ กล่าวถึงโรคจากฝุ่น ทั้งระยะเฉียบพลัน ระยะเรื้อรัง ติดเชื้อง่ายขึ้น รุนแรงขึ้น ทำให้อายุขัยสั้นลง คุณภาพชีวิตดลง ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น

“ฝุ่นกดภูมิต้านทาน ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ช่วงพีเอ็ม รุนแรงขึ้น โอกาสเสียชีวิตมากขึ้น ทำให้การรักษาการติดเชื้อยากขึ้น เรื่องหัวใจ เส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจวาย นอนโรงพยาบาลมากขึ้น ผลกระทบกว้างมากเลย ที่สำคัญคือทำให้เกิดมะเร็ง มะเร็งปอด ชัดมากเลย พีเอ็มก่อให้เกิดแน่นอน 

ในสถิติกระทรวงสาธารณสุข ภาคเหนือเป็นมะเร็งปอดมากกว่าภาคอื่น ๆ สองเท่า หอบหืด ถุงลมโป่งพอง มากกว่าภาคอื่น ๆ NCD มากกว่าภาคอื่น ๆ 

“ที่เราคุยกันไม่ใช่เรื่องตื่นตระหนก แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ประชาชนยังไม่ได้เข้าใจ แล้วยังมีหมอบางคนยังพูดผิดเพี้ยนไปอีก ไม่ใช่ว่าปอดคนไทยไม่เหมือนกับปอดคนอื่น ๆ”

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active