ย้ำวัคซีนทุกสูตรพบมีประสิทธิผลป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตจากแต่ละสายพันธุ์สูง 90-100% การฉีดเข็มกระตุ้นช่วยเพิ่มการป้องกันติดเชื้อให้สูงได้ เร่งฉีดเข็ม 3 ตั้งเป้าจังหวัดแซนด์บ็อกซ์ให้ได้ 50% ขณะที่เตียงรักษายังเพียงพอ เน้นเข้า HI/CI ก่อน
14 ม.ค. 2565 ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตั้งแต่ปีใหม่ 2565 จนถึงวันนี้ มีสายพันธุ์โอมิครอนเข้ามาระบาดในประเทศ พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ความรุนแรงของโรคลดลง ขณะที่ผู้ป่วยอาการหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจและเข้าไอซียูไม่ได้เพิ่มมากขึ้นผู้เสียชีวิตอยู่ในช่วงขาลงไม่เกิน 20 คนต่อวัน ข้อมูลจากสถาบันการแพทย์ต่างๆสอดคล้องกันว่า เชื้อสายพันธุ์โอมิครอนติดง่ายแต่รุนแรงไม่เท่าเดลตา
ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนข้อเสนอจากคณะแพทย์ สถาบันการแพทย์ต่างๆ ที่ให้มีมาตรการที่ประชาชนจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขมากที่สุด และเมื่อสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจะเสนอ ศบค.ผ่อนคลายมาตรการให้มากที่สุดและเร็วที่สุด และพร้อมเสนอมาตรการเพิ่มหากมีสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันนี้ (14 ม.ค.) ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเฉพาะภายในประเทศ 7,916 คน มาจากต่างประเทศ 242 คนและเสียชีวิต 15 คน ส่วนผู้ป่วยปอดอักเสบพบ 510 คน และใส่ท่อช่วยหายใจ105 คน แนวโน้มลดลง
“ช่วงแรกของเดือนมกราคม 2565 พบการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ขณะนี้ผ่านมา 14 วัน สถานการณ์การติดเชื้อเริ่มทรงตัวและอาจลดลงได้”
สถานการณ์เสียชีวิตต่ำกว่าที่คาดการณ์ เนื่องจากการฉีดวัคซีนมีความครอบคลุมและเชื้อลดความรุนแรงลง ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงดีขึ้นจะมีการพิจารณาลดระดับการเตือนภัยประชาชนจากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 4 โดยยังขอให้ประชาชนป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา งดเข้าสถานที่เสี่ยง และชะลอการเดินทาง
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ขณะนี้ฉีดสะสม 108.5 ล้านโดส
- เข็มแรก 51.6 ล้านคน ครอบคลุมประชากร 76.92%
- เข็มสอง 47.2 ล้านคน ครอบคลุมประชากร 70.32%
- เข็มสาม 9.15 ล้านคน ครอบคลุมประชากร 13.63%
โดยจะพยายามเร่งฉีดเข็ม 3 ในพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ให้ถึง 50% ภายใน 1-2 เดือนนี้ ซึ่งจะทำให้ประเทศมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกระดับ
ย้ำประสิทธิภาพทุกสูตรวัคซีน
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรคติดตามประเมินประสิทธิผลวัคซีนโควิด-19 ในพื้นที่จริง ตั้งแต่ช่วงสิงหาคม – ธันวาคม 2564 จากการฉีดวัคซีนสูตรต่างๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ใน 4 พื้นที่ ซึ่งแต่ละช่วงเวลามีการระบาดของสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ภูเก็ต ช่วงเดือนสิงหาคมมีสายพันธุ์อัลฟา
- กทม. ช่วงกันยายน-ตุลาคม มีทั้งอัลฟาและเดลตา
- เชียงใหม่ ช่วงธันวาคม มีสายพันธุ์เดลตา
- กาฬสินธุ์ ช่วงธันวาคม มีสายพันธุ์โอมิครอน
จากการวิเคราะห์พบว่า วัคซีนทุกสูตรมีประสิทธิผลป้องกันอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตสูงประมาณ 90-100% ส่วนการป้องกันการติดเชื้อมีประสิทธิผลสูงพอสมควร แต่จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นหรือการฉีดสูตรไขว้ จะเพิ่มประสิทธิผลการป้องกันการติดเชื้อให้สูงขึ้นจึงช่วยควบคุมการระบาดได้ดี
สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนเชื้อตายและรับเข็ม 3 ด้วยแอสตราเซเนกาหรือไฟเซอร์ พบว่ามีประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อและป้องกันการเสียชีวิตสูงไม่แตกต่างกันส่วนการรับเข็ม 3 ด้วยแอสตราเซเนกาหรือไฟเซอร์สามารถป้องกันโอมิครอนได้ 80-90%
เตียงมีพอ เน้นเข้า HI/CI
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขเน้นการดูแลที่บ้านและชุมชน (HI & CI first) เนื่องจากผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนครึ่งหนึ่งไม่มีอาการ และอีก 30% มีอาการไม่มาก แต่หากประเมินพบว่ามีอาการเปลี่ยนแปลงจะส่งไปยังฮอสพิเทล โรงพยาบาลสนามหรือโรงพยาบาลหลักต่อไป
สำหรับข้อกังวลเรื่องสถานการณ์เตียงนั้น จากข้อมูลเตียงโรงพยาบาลและฮอสพิเทลเปรียบเทียบระหว่างวันที่ 9 มกราคม 2565 ที่เริ่มพบจำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนมากขึ้น และวันที่ 13 มกราคม 2565 พบว่า
- เตียงสีแดง สำหรับผู้ป่วยอาการหนักลดลง โดยทั่วประเทศจาก 213 เตียง เหลือ 182 เตียง ส่วน กทม.คงเดิม คือ 25 เตียง
- เตียงสีเหลือง มีการใช้เพิ่มขึ้น โดยทั่วประเทศจาก 1,681 เตียง เป็น 3,095 เตียง กทม. จาก 513 เตียง เป็น 1,246 เตียง เนื่องจากแพทย์ต้องการเฝ้าระวังสังเกตอาการกลุ่มเสี่ยง
- เตียงสีเขียว ทั่วประเทศใช้เพิ่มขึ้นประมาณ 1 หมื่นเตียง ส่วน กทม.ใช้เพิ่มประมาณ 3 พันเตียง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าเตียงยังมีเพียงพอรองรับได้
“เราเน้น HI/CI First เพื่อลดจำนวนการครองเตียงในโรงพยาบาล โดยในส่วนของ CI กทม.เตรียมไว้ 5-6 พันเตียง ขณะนี้มีผู้ป่วยเข้ารับการดูแลไม่ถึง 1 พันคน”
อธิบดีกรมการแพทย์ ย้ำว่า ผู้ที่มีผลตรวจ ATK เป็นบวก ให้ติดต่อสายด่วน 1330 โดยขอให้โรงพยาบาลที่ได้รับการประสานติดต่อผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด เพื่อประเมินอาการ ให้คำแนะนำในการดูแล จัดส่งยาและเวชภัณฑ์ พร้อมติดตามประเมินอาการ ซึ่งถ้าอาการเปลี่ยนแปลงก็จะประสานเข้าระบบส่งต่อ และขอให้โรงพยาบาลต่างๆ รับผู้ป่วยเด็ก ซึ่งสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีได้จัดเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กมาเป็นที่ปรึกษาให้