ศบค. ชี้ อัตราติดเชื้อไม่เกิน 3% ยังอยู่ในขีดรองรับของระบบสาธารณสุข ยัน ไม่ปิดประเทศ ไม่ล็อกดาวน์ ‘นักระบาดฯ’ แนะ เสริมศักยภาพระบบสาธารณสุขในชุมชนรับโควิด-19 ขาขึ้น ‘นักไวรัสวิทยา’ จับตาโอมิครอน BA.2 แยกเป็นสายพันธุ์พาย
วันนี้ (21 ก.พ. 2565) สถานการณ์โควิด-19 ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 18,883 คน ส่วนผู้ที่มีผลตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท หรือ ATK เป็นบวก จำนวน 15,010 คน พบผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มวัยทำงาน วัยรุ่น และกลุ่มนักเรียน ซึ่งส่วนใหญ่มีอาการน้อย สามารถรักษาตัวอยู่ที่บ้าน หรือ Home Isolation (HI) แม้ระบบสาธารณสุขจะรับผู้ติดเชื้อได้ถึง 5 หมื่นคนต่อวัน แต่ขณะนี้แม้ผู้ติดเชื้อยังอยู่ระหว่าง 2-3 หมื่นคน เริ่มเกิดภาวะเตียงเต็ม
The Active พูดคุยกับอดีตผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลายคน ให้ข้อมูลตรงกันว่าคนที่ทำประกันสุขภาพเมื่อติดโควิด-19 แม้มีอาการน้อย แต่ก็จำเป็นต้องเข้าไปรักษาตัวอยู่ใน Hospitel (หอผู้ป่วยเฉพาะกิจ) หรือโรงพยาบาล จึงจะสามารถเคลมประกันภัยได้ ในขณะที่การรักษาตัวที่บ้านจะเบิกประกันไม่ได้
ก่อนหน้านี้ (15 ก.พ.) สมาคมประกันชีวิตไทย ออกข้อปฏิบัติเคลมประกันโควิด สำหรับผู้เอาประกันภัยที่ติดเชื้อ โดยจะไม่จ่ายชดเชยให้กับการกักตัวรักษาที่บ้าน หรือ HI ซึ่งยังเป็นแนวทางที่สับสน แม้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จะยืนยันว่า กรณี HI จะอ้างเป็นเหตุไม่จ่ายสินไหมไม่ได้ ส่วน กรมการแพทย์ ก็ยืนยันว่า HI ถือเป็นผู้ป่วยใน ตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำหนด จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์เตียงเต็ม โดยเฉพาะกับ Hospitel ในกรุงเทพมหานคร ที่เต็ม 100% แล้ว
ผศ. นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการ การสาธารณสุข วุฒิสภา บอกกับ The Active ว่าหากผู้ติดเชื้อโอมิครอนมีอาการน้อยก็ได้รับการรักษาฟรีจากรัฐอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่มีอาการหนักต้องเข้าโรงพยาบาลก็มีเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งบริษัทประกันที่กำลังไปไม่รอดจากการตรวจเจอจ่ายจบ ก็ปรับตัวจากสถานการณ์การระบาดของโอมิครอน โดยต้องยอมรับว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วมีอาการน้อย ก็เหมือนได้รับโบนัสไปพร้อมกัน
แต่สำหรับ สภาองค์กรผู้บริโภค เน้นย้ำเตือนเรื่องนี้ขอผู้ที่ซื้อประกันภัยเจอแล้วจ่าย ไม่ว่าจะรักษาตัวที่ใด โดยเฉพาะการรักษาตัวที่บ้าน ก็ยังควรที่จะได้รับสินไหมทดแทนตามสิทธิทำไว้กับประกันก่อนหน้านี้
ศบค. ยัน ระบบสาธารณสุขยังรับได้
พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ รองโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ระบุว่า ขณะนี้พบอัตราการติดเชื้อไม่เกิน 3% และยังไม่คิดที่จะประกาศล็อกดาวน์ ไม่มีการยกเลิกมาตรการเข้าประเทศแบบ Test&Go เนื่องจากในกลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศที่พบการติดเชื้อยังอยู่ในขีดความสามารถที่ระบบสาธารณสุขรับได้
ส่วนการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ศบค. ไม่ได้ประเมินจากยอดผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยในโรงพยาบาล และผู้ป่วยอาการหนัก เท่านั้น แต่จะพิจารณาถึงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความเป็นอยู่ของประชาชนร่วมด้วย
โดยในวันที่ 23 ก.พ. นี้ ขอให้จับตาการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ของ ศบค. ชุดใหญ่ ทั้งนี้ เมื่อไม่มีมาตรการล็อกดาวน์ และยังคงนโยบายเปิดประเทศ อาจต้องมีมาตรการที่เข้มงวด ส่วนจะเป็นอย่างไรขอให้ติดตามจากผลการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ นอกจากนี้ ยังต้องขอความร่วมมือนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ที่ออกมาให้ความเห็น ขอให้ระบุด้วยว่าเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว
นักระบาด แนะเสริมศักยภาพ รพ.ชุมชน
ด้าน ผศ.ธวัชชัย อภิเดชกุล คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มองว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าถึงชุดตรวจ ATK ที่ง่ายขึ้น ยิ่งตรวจเยอะก็ยิ่งเจอมาก ขณะเดียวกันในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีมาตรการผ่อนคลายผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติ ทั้งนี้ หากสังเกตดูผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักเรียน ซึ่งมีลำดับการฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มสุดท้าย และอีกกลุ่มก็เป็นกลุ่มวัยรุ่นวัยทำงานซึ่งยังมีร่างกายแข็งแรง เมื่อติดเชื้อก็มีอาการไม่มากนัก ควรจะเข้าสู่ระบบการรักษาตัวแบบ Home Isolation
ในระยะเฉพาะหน้า ผศ.ธวัชชัย เชื่อว่า การล็อกดาวน์จะยังไม่ใช่ทางเลือกของกระทรวงสาธารณสุขในตอนนี้ แต่ทางออกน่าจะคือการเสริมศักยภาพของระบบสาธารณสุขชุมชน โรงพยาบาลชุมชน ซึ่งกระจายกำลังรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น แต่อาการไม่รุนแรง ต่างจากการระบาดของสายพันธุ์เดลตา
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาปัจจัยร่วมทั้งยอดการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมไปถึง 70% และจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมหายป่วยที่เพิ่มมากขึ้น เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คาดว่าอีก 1 เดือนจากนี้ การระบาดรอบนี้จะเข้าสู่ช่วงขาลง แต่การกลายพันธุ์ของไวรัสก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามว่าจะไปสู่การเป็นโรคประจำถิ่นในปลายปีนี้ได้จริงหรือไม่
จับตา BA.2 ยกระดับเป็นสายพันธุ์พาย
จากกรณีหนูทดลองในห้องปฏิบัติการของนักวิจัยชาวญี่ปุ่น ที่ไม่ได้รับวัคซีน แยกติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน BA.1 มีอาการไม่รุนแรง แต่หนูทดลองที่ติดเชื้อ BA.2 กลับมีอาการรุนแรงเหมือนสายพันธุ์เดลตา สร้างความกังวลว่าการกลายพันธุ์ จนเกิดสายพันธุ์ย่อย อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติอีกครั้ง ซึ่งยังคงต้องรอดูความชัดเจนจากยอดผู้ป่วยหนัก ว่าจะเพิ่มขึ้นหลังจาก BA.2 ครองสัดส่วนการระบาดแทน BA.1 หรือไม่
อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผอ.กลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช. ประเมินว่า แม้ลักษณะการก่อโรครุนแรงของ BA.2 จะยังคงถกเถียงอยู่ในวงวิชาการ แต่ที่ชัดเจนแล้ว คือสามารถแพร่ได้ไวกว่าสายพันธุ์โอมิครอน 30-40% และการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนหนามที่มากถึง 30 ตำแหน่ง ก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์ มองว่าอาจต้องเปลี่ยนชื่อเป็น สายพันธุ์พาย ซึ่งเป็นตัวอักษรกรีกตัวถัดไปจาก โอมิครอน
เมื่อถามถึงประสิทธิภาพวัคซีน นักไวรัสวิทยา ยืนยันว่า วัคซีนชนิด mRNA กรณีเข็มกระตุ้นเข็ม 3 ยังพอจะรับได้ และจำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรมากที่สุด เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่จะหยุดการกลายพันธุ์ของไวรัส ซึ่งหากผู้ติดเชื้อหลักหมื่นคนต่อวัน ไวรัสก็จะมีความสามารถกลายพันธุ์ต่อไปได้เรื่อย ๆ ซึ่งยากที่จะไปสู่การเป็นโรคประจำถิ่นหรือสิ้นสุดการระบาด
เขาวิเคราะห์อีกว่า หากสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ประเทศไทยยังไม่พ้นจุดสูงสุดของการติดเชื้อ รัฐบาลต้องมีมาตรการ เพื่อลดการติดเชื้อ เพราะถ้าปล่อยไปจนถึงเดือนมีนาคม อาจไปกระทบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งหากมีมาตรการเข้มข้นช่วงนั้น อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าในเวลานี้