ชาวนาช้ำใจหนัก ชี้ชัด มีนาคม เดือนอันแสนอึดอัด ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบเหมือนลูกไก่ในกำมือ ต้องทนรับสภาพราคาข้าวตกต่ำ หนี้สิน ไร้เงินเยียวยาสละพื้นที่รับน้ำ ยังไม่พอ ต้องมาเจอมาตรการห้ามเผา จนถึง 31 พ.ค. นี้ แต่ลืมนึกถึงเครื่องมือลดการเผา ยังไม่มีทางเลือกช่วยชาวนาที่ดีพอก่อนออกมาตรการ
แม้ในช่วงที่ผ่านมาเห็นภาพการเคลื่อนไหวของ ม๊อบชาวนา 12 จังหวัด พยายามยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขทั้ง ราคาข้าวตกต่ำ และเงินชดเชยพื้นที่รับน้ำ แต่ดูเหมือนการเจรจากับตัวแทนรัฐบาล ยังไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน นอกจากนั้นเวลานี้ ชาวนา โดยเฉพาะในพื้นที่ทุ่งรับน้ำภาคกลาง อย่างกรณีศึกษาทุ่งบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ยังเจอกับมาตรการห้ามเผา ซึ่งห้ามไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม ความกังวลที่เกิดขึ้นคือ หากยังไม่ได้เผา แล้วไปเผาหลังเดือนพฤษภาคม เพื่อปลูกข้าว ก็อาจเก็บเกี่ยวไม่ทันวันที่ 15 กันยายน ที่ต้องเป็นผู้เสียสละพื้นที่รับน้ำนองอีก

ฟังเหตุผล ทำไม ? ชาวนาไร้ทางเลือก แล้วใครช่วยได้บ้าง
The Active ลงพื้นที่ไปยัง อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อฟังเสียงสะท้อนความทุกข์ และความกดดัน ที่มีตลอด 1 เดือนท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบคั้น

จงรักษ์ ไกร ชาวนา ต.บางชะนี อ.บางบาล เล่าว่า ปกติทำนาในทุ่งบางบาล 30 ไร่ ปีละ 2 รอบ ปีนี้ราคาข้าว ตกต่ำมาก และต้นทุนสูง บางครั้ง คิดเป็น 6,000 บาทต่อไร่ ซึ่งเท่ากับทุน การทำนาในทุ่งรับน้ำ จะเริ่มทำนารอบแรกตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ถึงปลายมีนาคม รอบที่ 2 เริ่มทำนาเมื่อรัฐเริ่มประกาศเข้าสู่ฤดูฝน ไปจนถึง 15 กันยายน ต้องเกี่ยวก่อนเพื่อเตรียมตัวเป็นทุ่งรับน้ำ
นั้นหมายความว่าในรอบแรกที่เกี่ยวเดือนมีนาคม ปกติชาวนาจะต้องรีบเผาเพื่อเตรียมแปลง แต่ปีนี้ทำไม่ได้ ต้องรอให้สิ้นสุด มาตรการงดเผาถึง 31 พฤษภาคมก่อน จึงจะเผาได้ ด้วยเหตุผลจึงเป็นข้อจำกัด เพราะจะปลูกข้ารอบที่ 2 ที่เริ่มเดือนพฤษภาคม ก็จะไม่ทันช่วงน้ำท่วมหลาก 15 กันยายน ขณะเดียวกันอากาศแปรปรวนก็เอาแน่เอานอนไม่ได้

บังอร คล้ายศรีโพธิ์ ชาวนา ต.บางชะนี อ.บางบาล ก็ยอมรับว่า ที่ผ่านมาชาวนามักถูกเหมาว่าเป็นผู้เผา แต่เดือนมีนาคม เราไม่ได้เผาเพราะยังไม่ได้เก็บเกี่ยว สวนทางกับ ค่าฝุ่น PM2.5 ที่สูงเกินค่ามาตรฐานที่ยังไม่ได้ก่อขึ้น ขณะที่ การชดเชย รัฐบาลแต่ละยุคช่วยเหลือชาวนาแตกต่างกัน ส่วนใหญ่เน้นการช่วยเรื่องเงิน แต่จริง ๆ แล้ว การช่วยเหลือไม่ตอบโจทย์กับคนทำนา โดยเฉพาะที่เป็นทุ่งรับน้ำที่ไม่เคยได้รับ ทั้งที่เสียโอกาสให้น้ำขัง 4 เดือน ซึ่งเป็นช่วงสูญเสียโอกาสในการปลูกพืชผักอย่างอื่นขาย พื้นที่อื่นที่ไม่ใช่ทุ่งรับน้ำไม่ต้องสูญเสียจุดนี้ ซึ่งต้องแยกจากการชดเชยเยียวยาหากเกิดภัยพิบัติ ตามหลักการช่วยของกระทรวงมหาดไทยหลังเกิดเหตุ ส่วนใหญ่ได้รับเท่ากันหมด
“แต่นี้คือคนละประเด็นกับพื้นที่ทุ่งรับน้ำที่มีช่วงเวลาที่ต้องทำให้อยู่ในการกำหนดต้องรับน้ำท่วม มันคือพื้นที่เปราะบางที่รัฐควรจะให้การดูแลมากกว่านี้ เพราะรัฐบาลจะออกนโยบายเหมือนกันหมดไม่ได้ หรือที่เรียกว่าแจกเสื้อโหลทั้งประเทศ ทุกคนรับน้ำ เสียสละ แช่น้ำช่วยคนเมือง แต่ระหว่างที่เราเก็บน้ำน้ำขังไว้ในนาตัวเอง ดอกเบี้ยธนาคารก็เดินทุกวัน ค่าชดเชยทุ่งรับน้ำไม่เคยได้”
บังอร คล้ายศรีโพธิ์

เช่นกันกับ รสสุคนธ์ งามจั่นศรี ชาวนา อ.บางบาล ก็สะท้อนว่า ปีนี้มีนโยบายห้ามเผานา ถ้าจะให้เผาคือสิ้นเดือนพฤษภาคม ข้าวเรา 120 วัน มันเสี่ยงเกินไป พื้นที่เราเป็นทุ่งรับน้ำ 15 กันยายน ต้องเกี่ยวให้เสร็จ ไม่เช่นนั้นจะถูกท่วม เราเสียสละ เสียโอกาสทางเศษฐกิจมาก แทนที่จะปลูกพืชอย่างอื่นได้ แต่ทำไม่ได้และไม่มีมีค่าชดเชย
“แม้ว่าก่อนหน้านี้ หน่วยงานในพื้นที่จะช่วยเหลือหาแนวทางงดเผา และมีจุลินทรีย์ทดลองหมัก แต่ก็ต้องมีน้ำเข้านามาช่วย และการหมักเจ้าหน้าที่บอก 1 เดือน แต่หมักจริง และทดลองทำ 2 เดือน พบข้าวดีด จึงทำไม่เต็มที่ตามที่รัฐออกนโยบายห้ามเผา อาจต้องช่วยมากขึ้น ทุกวันนี้ชาวนาที่นี่ไม่มีทางเลือก ที่สำคัญไม่มีรถอัดฟาง ไม่มีตลาด ไม่มีทางเลือกช่วยการงดเผาที่มากพอ”
รสสุคนธ์ งามจั่นศรี
รสสุคนธ์ บอกอีกว่า รัฐบาลไม่จัดสรรให้ครอบคลุมโดยเฉพาะทุ่งบางบาล ที่ต้องถูกจำกัดหลายด้าน และอีกเหตุผลที่เรียกร้องคือ 3-4 เดือนที่เป็นทุ่งรับน้ำ เราจะไม่ได้ปลูกอะไรเลย ไม่มีค่าชดเชย เยียวยาในฐานะทุ่งรับน้ำ และก็ยังเสียดอดเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงต้องจ่ายหนี้ ธนาคาร ทุกอย่างภายในเดือนนี้ จึงไร้ทางออก จะรอชดเชยอย่างเดียวไม่คุ้มค่า และสวนทางกับความเป็นจริง ปัจจุบันจึงอยู่อย่างกดดัน ไม่มีทางออก
“ช่วยพวกเราด้วย เครื่องจักรเครื่องมือ ค่าชดเชยทุ่งรับน้ำที่เป็นธรรม เพราะไม่อย่างนั้น การทำนาของเราจะเริ่มต้นไม่ทันฝนที่จะมา”
รสสุคนธ์ งามจั่นศรี

ขณะที่ สันติ จียะพันธ์ นักวิชาการอิสระ ในฐานะผู้ทำวิจัยด้านการปรับตัวของชาวนาในพื้นที่ทุ่งรับน้ำบางบาล มองว่า เรื่องนี้ต้องมอง 2 ด้าน ทั้งเรื่องชีวิตประชาชน และ การให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม ขณะเดียวกันหากรัฐใช้นโยบายกำหนด ก็ควรมีแนวทางให้ประชาชนได้เยียวยาที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล ต่อการพัฒนาชีวิตต่อด้วย
ประเด็นแรก ชาวนามีข้อจำกัด ทั้งสภาพอากาศ และส่วนใหญ่มีหนี้สิน มีภาระรายจ่ายต่าง ๆ ในครัวเรือน ระหว่างที่เป็นทุ่งรับน้ำ บางครอบครัว บ้านเรือนก็อยู่ในทุ่งรับน้ำ พวกเขาต้อง แบกภาระค่าใช้จ่ายปัญหาเรื่องการเดินทางออกนอกพื้นที่ อาจต้องมองถึงระบบคมนาคมที่ต้องช่วยให้เขามีทางเลือกในการใช้ชีวิตอยู่กับน้ำด้วย
“คิดว่ามันอาจจะไม่เป็นธรรมในปัจจุบัน แถมเรื่องการจำกัดการเผา ควรมีทางออก เตรียมงบประมาณ เครื่องจักรต่าง ๆ ให้พร้อมช่วยชาวนาด้วย”
สันติ จียะพันธ์
ส่วน ประเด็นที่สอง การเป็นพื้นที่รับน้ำ ไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ เพราะว่าในลักษณะที่เป็นพื้นที่ทุ่งรับน้ำหรือแก้มลิงที่ถูกเปลี่ยนมาให้มีการควบคุมน้ำเข้าออก วิถีชีวิตชาวนาที่นี้ก็เปลี่ยนไป สายพันธุ์ข้าวก็เปลี่ยนไป รัฐก็ต้องมองเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมด้วย ขณะที่ชาวนาหลายคนที่นี่ ก็มองว่า เป็นการเสียโอกาสทางเศรษฐกิจในขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ก็ยังสามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะยิ่งในพื้นที่เมืองที่พยายามปกป้องให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจ หรือว่าพื้นที่ที่ป้องกันไม่ให้น้ำท่วม การโยนภาระไปให้คนกลุ่มหนึ่ง ต้องรับน้ำก็ต้องหันหน้าคุยกัน และให้ความเป็นธรรม
คำร้องขอถึงรัฐ แก้ปัญหาตรงจุด มีนโยบายที่ใช้ได้จริง
ที่ผ่านมาชาวนาหลายจังหวัดพยายามหาทางออก ที่แตกต่างกัน ทั้งการปรับใช้พื้นที่เพื่อการเกษตรให้เหมาะสมแต่ละพื้นที่ แต่ความที่บริบทแตกต่างจึงทำให้ ผลพวงนี้ยืดเยื้อ มาหลายยุคของรัฐบาลแต่ละชุด หากมองบริบททุ่งรับน้ำที่ผ่านมา พื้นที่ทุ่งรับน้ำ จะเป็นพื้นที่ที่มีช่องทางในการควบคุมน้ำเข้าและน้ำออก การท่วมในพื้นที่ทุ่งรับน้ำ จึงขึ้นอยู่กับการจัดการน้ำของรัฐเกือบสมบูรณ์
โดยในลุ่มภาคกลางตอนล่าง จะมีพื้นที่ทุ่งรับน้ำอยู่ 10 ทุ่ง พื้นที่รวมกันเกือบ 1 ล้านไร่ สามารถรับน้ำได้มากกว่า 1,300 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ปัจจุบัน ความชัดเจนของการจ่ายค่าชดเชย ค่าเยียวยา และค่าเสียโอกาส ในพื้นที่ทุ่งรับน้ำ และพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำ รัฐพยายามยึดหลักการการเยียวยา จากสาธารณภัยทั่วไปที่เกิดตามธรรมชาติ โดยไม่ได้มองว่า ภาระของครัวเรือนที่ถูกน้ำท่วมสูงกว่า และนานกว่าพื้นที่อื่น ๆ ควรเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐบาล เพราะเป็นผลลัพธ์จากระบบการจัดการน้ำของรัฐบาลเอง นอกจากนี้ กฎเกณฑ์และความทั่วถึงในการจ่ายค่าเยียวยาน้ำท่วมในแต่ละปี ยังเป็นปัญหาใหญ่ของประชาชนในพื้นที่ ที่รอการแก้ที่ตรงจุด