ชี้ พลาสติกเป็นต้นเหตุหนึ่งของวิกฤตภูมิอากาศ หวังให้สนธิสัญญาฉบับใหม่เน้นลดการผลิตพลาสติกใหม่ โดยเฉพาะพลาสติกใช้ครั้งเดียว
กรีนพีซ ประเทศไทย เปิดเผยรายงานข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคประชาชนต่อการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก โดยชี้ว่ามลพิษพลาสติกไม่ใช่แค่ปัญหาขยะล้นโลก หากแต่เป็นต้นเหตุหนึ่งของวิกฤตสภาพภูมิอากาศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวงจรชีวิต ตั้งแต่การผลิต การใช้งาน ไปจนถึงการจัดการหลังบริโภค ซึ่งล้วนพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและการใช้ทรัพยากรเกินขนาด เรียกร้องให้สนธิสัญญาพลาสติกโลกต้องมีกลไกสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามเป้าหมายของความตกลงปารีส โดยเน้นการลดการผลิตพลาสติกจากต้นทาง การออกแบบเพื่อการใช้ซ้ำ และการลดการพึ่งพาพลาสติกจากปิโตรเลียมอย่างเป็นระบบ
รายงานดังกล่าวเกิดจากการรวมเสียงของกลุ่มประชาสังคม เยาวชน ชุมชนชายฝั่ง นักวิชาการ และภาคธุรกิจรีไซเคิล ผ่านกิจกรรมกลุ่มระดมสมอง (focus group) ในกรุงเทพฯ สงขลา และภูเก็ต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ข้อเสนอเชิงนโยบายของประชาชนสะท้อนสู่การตัดสินใจของคณะผู้แทนไทยในเวทีโลก
ข้อเสนอจากภาคประชาชนครอบคลุม 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การลดการผลิตพลาสติก การสนับสนุนระบบใช้ซ้ำ กลไกทางการเงิน การเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม และการยุติการฟอกเขียว โดยเน้นว่าการแก้ไขปัญหาต้องเริ่มจากต้นทาง คือ การลดการผลิตพลาสติกใหม่ โดยเฉพาะพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐไทยกำหนดเป้าหมายระดับชาติและสนับสนุนการออกกฎหมายที่ควบคุมการผลิตพลาสติกอย่างเข้มงวด โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การลดการผลิตพลาสติก (Plastic Production Reduction)
ภาคประชาชนเสนอให้รัฐบาลไทยกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกระดับโลก โดยเฉพาะพลาสติกใหม่ (virgin plastic) และพลาสติกใช้ครั้งเดียว (single-use plastic) ควบคู่กับการออกกฎหมายควบคุมการผลิตและการนำเข้าอย่างเข้มงวด พร้อมแบนพลาสติกที่ไม่จำเป็นหรือจัดการได้ยาก ทั้งนี้การลดการผลิตถือเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการมลพิษพลาสติกระยะยาว มากกว่าการมุ่งจัดการขยะที่ปลายทาง
นอกจากนี้ยังเสนอให้ใช้กลไกทางการเงิน เช่น ภาษีพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic Tax) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากปิโตรเลียม และส่งเสริมให้ราคาผลิตภัณฑ์พลาสติกสะท้อนต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง พร้อมทั้งให้ภาครัฐบังคับใช้กฎหมายขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผู้ผลิตรับผิดชอบตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบสินค้า
2. การสนับสนุนระบบใช้ซ้ำ (Reuse Systems)
ภาคประชาชนต้องการให้ระบบการใช้ซ้ำกลายเป็นทางเลือกหลัก ไม่ใช่เพียงทางเลือกทางเลือกหนึ่ง โดยเสนอให้รัฐกำหนดเป้าหมายการใช้ซ้ำขั้นต่ำ (Mandatory Reuse Targets) สำหรับอุตสาหกรรมหลัก เช่น ธุรกิจเครื่องดื่ม อาหารเดลิเวอรี และร้านสะดวกซื้อ รวมถึงออกมาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้ธุรกิจปรับตัว เช่น การลดหย่อนภาษีให้ผู้ใช้บรรจุภัณฑ์ทางเลือก และสนับสนุนให้ผู้บริโภคคืนบรรจุภัณฑ์ได้ด้วยรางวัลหรือส่วนลด
ภาคประชาชนยังเรียกร้องให้มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การติดตั้งตู้กดน้ำสาธารณะ ขยายร้านรีฟิล และสนับสนุนระบบยืม-คืนภาชนะ (Deposit Return Scheme) ควบคู่กับการส่งเสริมสุขอนามัยของบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำ เพื่อขจัดข้อกังวลด้านสุขภาพที่มักถูกหยิบมาเป็นข้ออ้างในการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว
3. กลไกทางการเงิน (Financial Mechanism)
กลไกทางการเงินเป็นหัวใจสำคัญที่จะผลักดันระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นจริงได้ ภาคประชาชนเสนอให้มีการจัดเก็บภาษีจากผู้ผลิตพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งภายใต้หลักการ EPR และให้มีการเปิดเผยข้อมูลด้านการลงทุนของภาคธุรกิจอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ยังเสนอให้มีภาษีคาร์บอนสำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติก และค่าธรรมเนียมที่สะท้อนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ควรมีการจัดตั้งกองทุนเฉพาะด้านเพื่อสนับสนุนธุรกิจระบบใช้ซ้ำ วิสาหกิจชุมชน และนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและพื้นที่นำร่อง พร้อมทั้งพัฒนาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) สำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจในระบบนี้ นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้ธนาคารและสถาบันการเงินกำหนดแนวทางปล่อยสินเชื่อที่ไม่สนับสนุนธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
4. การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition)
การลดการพึ่งพาพลาสติกต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภาคประชาชนจึงเสนอให้มีการจัดตั้งกลไกทางการเงินหรือกองทุนระดับประเทศสำหรับการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม เพื่อเยียวยาและสนับสนุนกลุ่มแรงงานและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น คนเก็บขยะ แรงงานในอุตสาหกรรมพลาสติก รวมถึงกลุ่มเปราะบาง เช่น สตรี เด็ก และชนพื้นเมือง โดยเน้นการพัฒนาทักษะใหม่ (reskilling & upskilling) เพื่อปรับตัวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน
ควรมีการสร้างแผนปฏิบัติการระดับชาติที่แรงงานในทุกภาคส่วนสามารถเข้าร่วมกำหนดทิศทางการเปลี่ยนผ่านได้อย่างมีส่วนร่วม เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไม่กลายเป็นการโยนภาระให้กับกลุ่มเปราะบางเพียงฝ่ายเดียว นอกจากนี้รัฐต้องออกแบบมาตรการทางกฎหมายที่คำนึงถึงความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำที่อาจเกิดขึ้นจากการลดการผลิตและการบริโภคพลาสติก
5. การยุติการฟอกเขียว (Ending Greenwashing)
ภาคประชาชนเสนอให้รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมการฟอกเขียว (Greenwashing) อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการใช้ถ้อยคำชวนเชื่อที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน เช่น “ย่อยสลายได้ 100%” หรือ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” บนฉลากสินค้า หากไม่มีการพิสูจน์ที่ชัดเจน ควรถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภค และต้องมีการเรียกคืนสินค้าและชี้แจงต่อสาธารณะ
ควรมีการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ทั้งก่อนการผลิตและหลังวางขาย (Pre-production Audit และ Post-market Monitoring) โดยรัฐต้องมีระบบติดตามและทวนสอบข้อมูลการตลาดของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการโฆษณาเกินจริง พร้อมส่งเสริมให้ใช้วัสดุทางเลือกที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง แทนที่จะใช้พลาสติกชีวภาพที่อาจสร้างปัญหาใหม่ตามมา

ประเทศไทยควรใช้โอกาสนี้ในการแสดงบทบาทนำและความกล้าหาญทางนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตที่ยั่งยืน
กรีนพีซ ประเทศไทย
รายงานของกรีนพีซ ประเทศไทย ระบุว่า ข้อเสนอเหล่านี้ยังสะท้อนความจำเป็นที่รัฐไทยต้องแสดงบทบาทนำในเวทีโลก โดยยืนหยัดในหลักวิทยาศาสตร์ สิทธิมนุษยชน และธรรมาภิบาล พร้อมแสดงจุดยืนลดการผลิตพลาสติกใหม่ลงอย่างน้อย 75% ภายในปี 2583 ตามข้อเสนอของกรีนพีซ เพื่อรักษาเสถียรภาพภูมิอากาศให้อุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
กรีนพีซ เน้นว่า การแก้ปัญหาพลาสติกต้องไม่เป็นเพียงการจัดการขยะปลายทาง แต่ต้องเชื่อมโยงกับนโยบายด้านพลังงาน สาธารณสุข และเศรษฐกิจ โดยเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอย่างแท้จริง ในช่วงที่ประชาคมโลกเร่งเจรจาสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ภาคประชาชนย้ำว่าการรับฟังข้อเสนอเหล่านี้จะช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับกระบวนการเจรจา และสะท้อนความกล้าหาญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน