เมื่อ ‘ศาสนา’ ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม เชื่อมชุมชน-ผู้กำหนดนโยบาย สู้ ‘โลกรวน’

ผู้นำศาสนา รัฐ ประชาชน คนรุ่นใหม่ ร่วมประกาศเจตนารมณ์ ร่วมทำงานบนจริยธรรม รักษาสิ่งแวดล้อม เผชิญความท้าทายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยึดโยงจิตวิญญาณ ต้านโลกรวน รับประชุม COP30 ในเดือน พ.ย. นี้

ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เวทีในประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลกอย่าง COP30 หรือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (Conference of the Parties) กำลังจะกลับมาอีกครั้ง ณ เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล

ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว COP29 มุ่งเน้นไปที่การเจรจาด้านการเงินและกลไกคาร์บอน พร้อมตั้งเป้าหมายใหม่ทางการเงิน NCQG (New Collective Quantified Goal)

ในขณะที่ปีนี้ COP30 ถูกจับตามองในฐานะการย้ำถึง “การลงมือทำจริง” ตามคำมั่นสัญญาลดโลกร้อน ที่มาพร้อมกลไกใหม่ด้านสภาพภูมิอากาศอย่าง Global Ethical Stocktake (GES) ที่ชวนทบทวนเชิงจริยธรรมว่า “เราทำเพื่อโลกดีพอหรือยัง” ในวันที่วิกฤตโลกรวนรุกคืบตรงหน้า พร้อมถามหาคุณค่าและความรับผิดชอบร่วมกัน

สำหรับประเทศไทย บทบาทในการเข้าร่วมครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความรับผิดชอบร่วมกันในระดับโลก แต่ยังเป็นการทบทวนว่าเรากำลังยืนอยู่ในจุดไหน และมีภาคส่วนใดบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนตามเป้าหมายนี้ บนเวทีระดับนานาชาติ

ภญ.ผลิน เทพทัตต์, ปวิช เกศววงศ์, ธนารัช วัชระพิสุทธิ์, พรพรหม วิกิตเศรษฐ์, จามีกร อำนาจผูก
บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ (ดำเนินรายการ)

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการพูดคุยร่วมกันถึงแนวทางการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม และทบทวนถึงต้นตอของปัญหา ว่าเพราะเหตุใดไทยจึงยังไม่สามารถแก้ปัญหาโลกรวนได้เสียที ผ่านเสียงของผู้ออกนโยบาย คนรุ่นใหม่ และผู้นำทางศาสนา ภายในวงเสวนาในหัวข้อ “ทำไมเราจึงยังไม่ลงมือแก้ปัญหาโลกรวนได้มากไปกว่านี้ ?” ส่วนหนึ่งของงานสานเสวนาระหว่างศาสนา ระดับภูมิภาค “เปิดพื้นที่ใหม่ สู้โลกรวน ให้โลกรอด : ศาสนา นโยบาย และคนรุ่นใหม่ From BKKCAW 25 to COP30” ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อธิบายว่า การประชุม COP30 จะกำลังจะเกิดขึ้นที่เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล นี้ เป็นเมืองบริเวณปลายแม่น้ำอะเมซอน ที่มีกลุ่มชนพื้นเมืองอาศัยอยู่มาก น่าจะเป็นการส่งสัญญาณว่าเสียงของคนกลุ่มนี้ กำลังจะต้องถูกรับฟังมากขึ้น รวมทั้งเสียงของ ผู้หญิงและเยาวชนด้วย

แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ บทบาทของผู้นำทางศาสนา กำลังถูกยกขึ้นมาให้เห็นความสัมพันธ์มากยิ่งขึ้น

ภญ.ผลิน เทพทัตต์ ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือเยาวชนส่งเสริม มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) คือ 1 ในตัวแทนประเทศไทยที่เข้าร่วม COP29 ณ อาเซอร์ไบจาน ในปีที่ผ่านมา อธิบายว่า ตนเองได้มีโอกาสไปนำเสนอแนวทางในการขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าว โดยใช้ พระ ให้เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง (Change Agent)

“เราเลือกที่ใช้ศาสนาบูรณาการเข้ากับเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวคิดว่า พระพุทธศาสนามีต้นทุนทางสังคมอยู่แล้ว เพราะพระสงฆ์มีความใกล้ชิดกับชุมชน ไม่ได้มีแค่การนำคำสอนทางศาสนา แต่พระยังเป็นครู ผู้ไกล่เกลี่ย และเป็น role model ของชุมชน”

ภญ.ผลิน เทพทัตต์

ภญ.ผลิน ยังอธิบายอีกว่า คำสอนทางศาสนาไม่เพียงแต่เป็นหลักยึดทางจิตใจ  แต่ยังช่วยบ่มเพาะทัศนคติของผู้คน และมีส่วนกำหนดบรรทัดฐานทางสังคมด้วย และต้นทุนทางสังคมนี้เอง ทำให้พระพุทธศาสนาสามารถถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อน SDG ได้อย่างมีพลัง โดยทำให้พระกลายเป็น change agent 

ภญ.ผลิน ยังอธิบายถึงความหมายของการเป็น change agent ว่า คือ การเชื่อมโยงนโยบายระดับชาติมาสู่การปฏิบัติในระดับชุมชน ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงของชุมชน (insight) กลับไป inform การตัดสินใจในระดับโลกผ่านคนเชื่อมอย่าง พระ เพื่อเชื่อมสองทาง ทั้งบนลงล่าง และล่างขึ้นบน และเรียกแนวคิดนี้ว่า Buddhism for SDG

โดยเสนอให้เพิ่ม P – Phra (พระ) เป็น P ที่ 6 จากเดิมที่มี 5 P ได้แก่ People, Prosperity, Planet, Peace และ Partnership

“เรามองเห็นคุณค่าของศาสนา และความเป็นต้นทุนทางสังคมของศาสนา ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลก ว่าสามารถใช้ขับเคลื่อนสุขภาพได้จริง และเราก็เชื่อมั่นว่ามันจะเกิดผลสัมฤทธิ์ได้จริง”

ภญ.ผลิน เทพทัตต์

ปัญหาสิ่งแวดล้อม – ทำไมแก้ไม่ได้สักที ?

แม้เป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเริ่มใกล้ตัวเข้ามาทุกที แต่เหตุใดยังดูไกลตัวสำหรับหลายคน ภญ.ผลิน อธิบายว่า ปัญหาการขับเคลื่อนเรื่องสิ่งแวดล้อม แบ่งได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ การขาดความตระหนัก ทั้งที่ตอนนี้มีการให้ความรู้มากมาย แต่กลับยังลงลึกไม่มากพอที่จะกระตุ้นระดับจิตสำนึกจนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจริง ๆ 

“หลายคนอาจคิดว่าแค่ปล่อยก๊าซ หรือทิ้งขยะลงแม่น้ำนิดหน่อยมันก็จบแค่นั้น แต่จริง ๆ แล้ว มันไปเชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อน”

ภญ.ผลิน เทพทัตต์

ภญ.ผลิน ยังยกตัวอย่าง การรณรงค์ควรทำให้คน เห็นผลต่อเนื่องให้ชัด ว่า เมื่อโลกร้อนแล้วจะเกิดอะไรต่อไป เช่น การระบาดของเชื้อโรคที่ถูกปลดปล่อยหากมีการละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลก หรือการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่ไม่เท่าเทียม ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนด้วย

“การรณรงค์ต้องชี้ให้คนเห็นว่า การกระทำเล็ก ๆ ของเรานั้น มีผลกระทบต่อชีวิตอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่จบอยู่ที่เรา”

ภญ.ผลิน เทพทัตต์

อีกส่วนหนึ่ง คือ สำหรับบางคนมีความตระหนักอยู่แล้ว แต่ติดปัจจัยที่ทำให้ทำไม่ได้และย้อนแย้ง เช่น ต้นทุนของการรักษ์โลก หลายครั้งก็สูงกว่าการใช้พลาสติก ซึ่งปัญหานี้แก้ไม่ได้ด้วยระดับปัจเจกบุคคล แต่ต้องใช้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน 

มายาคติเทรวม ?

พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืน กรุงเทพมหานคร ให้ความเห็นว่า ต้นตอของปัญหาอาจมาจากการขาดความเชื่อมั่นของประชาชน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการแยกขยะ

ตอนนี้ยังคงมีมายาคติว่า จะแยกขยะไปทำไม ในเมื่อรถขยะก็เทรวมอยู่ดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น

“หลายคนคิดว่าแยกที่บ้านไป รถขยะก็เทรวมอยู่ดี ซึ่งไม่จริง แต่พูดไปคนก็กลับไม่เชื่อ”

พรพรหม วิกิตเศรษฐ์

เขาอธิบายว่า กว่าครึ่งหนึ่งของขยะทั้งหมดในกรุงเทพฯ คือ เศษอาหาร ซึ่งเป็น ศัตรูสำคัญ หากไม่แยกขยะเศษอาหาร เศษเหล่านี้จะปะปนกับขยะอื่น ๆ แทนที่จะนำขยะบางส่วนไปขายได้เลย ก็เสียโอกาสไป

พรพรหม ย้ำว่า หากคิดอะไรไม่ออก ให้เริ่มแค่แยกขยะ เปียก กับ แห้ง ก่อน เพราะอย่างไรก็จะมีคนมาแยกต่อแน่นอน ส่วนอีกปัจจัยสำคัญคือ ความรู้

“ถ้าอย่างน้อยแยกได้สองกอง คือเปียกกับแห้งก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว แต่ต้องอธิบายให้คนเข้าใจด้วยว่าขยะที่แยกไปแล้ว มันถูกจัดการอย่างไรต่อ”

พรพรหม วิกิตเศรษฐ์

ทั้งนี้สิ่งที่ควรทำให้ประชาชนเห็น คือ ขยะมีทางไป และหากสื่อสารไปเรื่อย ๆ  ประชาชนจะเริ่มเข้าใจเอง เช่น ให้เห็นว่าต้นไม้ที่เติบโต มาจากปุ๋ยเศษอาหาร หรือ โครงการมือวิเศษ คือตัวอย่างหนึ่งที่สื่อสารให้ประชาชนเห็นเส้นทางของขยะอย่างเป็นรูปธรรม เช่น หากแยกขวดพลาสติก มันสามารถเปลี่ยนเป็นชุดสะท้อนแสงของทีมกวาดถนนได้

ตอนนี้ กทม. เริ่มใช้มาตรการกึ่งบังคับเรื่องเก็บค่าแยกขยะแล้ว และเชื่อว่านี่คือการ ยกระดับการจัดการขยะ เมื่อประชาชนเริ่มปรับตัวได้ จะต่อยอดไปสู่มาตรการเชิงกฎหมายได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ปวิช เสริมว่า การจัดการเรื่องเศษอาหารเป็นปัญหาใหญ่ ควรเริ่มที่โรงแรม หรือห้างร้านใหญ่ ๆ เสียก่อน สำหรับระดับประชาชน หลายคนยังสับสนว่าถังขยะหลากสีนั้นต่างกันอย่างไร รัฐต้องทำหน้าที่อำนวยความสะดวก และในอนาคต อาจมีถุงขยะหลากสี เพื่อให้คนเก็บขยะสะดวกต่อการทำงานมากขึ้นด้วย

แก้โลกรวนด้วยคำสอนศาสนา-จิตวิญญาณ

จามีกร อำนาจผูก Policy Influencer สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชวนมองปัญหาสิ่งแวดล้อมไปยังมุมที่ลึกลงในระดับจิตวิญญาณ 

“ถ้ามองย้อนกลับไป โลกรวนเพราะภายในของมนุษย์กำลังรวน”

จามีกร อำนาจผูก

จามีกร อธิบายว่า โลกภายในกับโลกภายนอกแท้จริงแล้วคือสิ่งเดียวกัน มันไม่เคยหนีหายไปไหน แต่มันสะท้อนกันและกัน ทั้งยังมองว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่มนุษย์ disconnect ความสัมพันธ์กับสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นกับผู้อื่นหรือกับธรรมชาติ ทำให้มองไม่เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเองต่อสิ่งรอบ ๆ เช่น ใช้พลาสติก แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วผลกระทบจะไปตกอยู่ที่ไหนในธรรมชาติ

อีกด้านหนึ่ง คือ ปัญหาจากภายในตัวมนุษย์เอง

“เรากำลังด้อยค่าตัวเอง เราคิดว่าตัวเราไม่ยิ่งใหญ่พอ การเปลี่ยแปลงสิ่งเล็ก ๆ จากตัวเราคงไม่ได้ส่งผลอะไรให้กับโลก ซึ่งความคิดเช่นนี้คือการ ตัดสินตัวเอง และตัดสินคนอื่น ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่การ disconnect ที่ร้าวลึกยิ่งขึ้น”

จามีกร อำนาจผูก

นอกจาก มนุษย์ยังมีแนวโน้มจะหนีปัญหา หรือโยนความหวังไว้กับคนอื่น คิดแต่เพียงว่า เดี๋ยววันหนึ่งคงมีใครสักคนมาจัดการ ในขณะที่ในความเป็นจริง นอกจากไม่เคยมีใครมาจัดการแล้ว มนุษย์กลับทุ่มแรงไปกับการแย่งชิง ผลิตมากเกินความจำเป็น โดยทั้งหมดนั้นมาจาก ความกลัว

“ความกลัวอยู่ในทุกสรรพชีวิต เรากลัวตาย เลยโหยหา บริโภคไม่รู้จบ แม้แต่ตัวผมเอง บางทีก็สะสมอาหารเต็มตู้เย็น เพราะกลัวว่าวันหนึ่งอาจไม่มีอะไรกิน และผมเชื่อว่าผู้มีอำนาจหลายคนก็อาจมีความกลัวแบบเดียวกัน”

จามีกร อำนาจผูก

จามีกร ยังทิ้งท้ายว่า ทางออกเอาเริ่มจากการ กลับมาเชื่อมโยงกับตัวเอง

“ถ้าเรากลับมา connect กับตัวเองได้ ผมเชื่อว่ามันจะทำให้ทุกคนรู้ว่าเราควรทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนนโยบาย งานชุมชน หรือการทำงานร่วมกับสรรพชีวิตอื่น ๆ ที่เรามักมองข้ามไป”

จามีกร อำนาจผูก

ขณะที่ ธนารัช วัชระพิสุทธิ์ อิหม่ามประจำมัสยิดฮารูณ และกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร ได้ยกตัวอย่างถึงคำสอนของศาสนาอิสลาม โดยในช่วงท้ายของอัลกุรอาน ที่กล่าวถึง วันสิ้นโลก และ วันพิพากษา มีการเน้นว่าทุกการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเล็กเพียงใด จะถูกนำมาคิดบัญชีโดยพระเจ้าอย่างยุติธรรม

“อัลกุรอานได้สอนไว้ชัดเจนว่า ผู้ใดทำความดี แม้เพียงเล็กน้อยเท่าผงธุลี เขาย่อมได้เห็นมัน และผู้ใดทำความชั่ว แม้เพียงเล็กน้อยเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน”

ธนารัช วัชระพิสุทธิ์

และหากพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม ธนารัช บอกว่า ไม่ว่าเราจะทำดีเพียงเล็กน้อยเท่าไหร่ พระเจ้าก็จะทรงเห็น และในทางตรงกันข้าม หากเราละเลยแม้เพียงเล็กน้อย เราก็จะได้รับบาปเช่นกัน

แม้เพียงการไม่แยกขยะ แล้วทำให้คนเก็บขยะบาดเจ็บ บาปนั้นก็ตกถึงตัวเรา ศาสนาอิสลามสอนให้ระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ว่าความดี-ความชั่วเราจะเล็กน้อยเพียงไร แม้ไม่มีใครพูด แต่การกระทำจะเป็นพยานให้กับเราเอง ดังคำล่าวที่ว่า เมื่อถึงวันหนึ่ง แม้ความดีเท่าเมล็ดพืชที่ซ่อนอยู่ใต้ผาหิน พระเจ้าก็จะทรงนำมาและคิดบัญชี แม้ปากของเราจะปิดสนิท แต่มือและเท้าจะเป็นพยานยืนยันการกระทำของเรา

ธนารัช วัชระพิสุทธิ์

อิหม่าม ยังย้ำว่า หน้าที่ของมุสลิมไม่ใช่เพียงการรักษาศีลอด หรือปฏิบัติเสาหลักทั้งห้าเท่านั้น แต่พวกเราทุกคนกำลังทำหน้าที่เป็น ตัวแทนของพระเจ้า บนแผ่นดิน จึงต้องปกปักรักษาโลกใบนี้ วันนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเสียงจะมาจากผู้ออกนโยบาย คนรุ่นใหม่ หรือแม้แต่ผู้นำทางศาสนาและจิตวิญญาณ ที่ใช้ถ้อยคำและแนวคิดต่างกันไป แต่ในวิกฤตนี้ ทุกฝ่ายเห็นร่วมบนหลักการเดียวกันว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องเปลี่ยนแนวคิด และพฤติกรรมจริง ๆ เสียที เพราะแม้จะเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ แต่ก็สามารถทำสิ่งที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ได้จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั่นเอง

การประกาศเจตนารมณ์
พลังศาสนา วัฒนธรรม นำสู่ “โลกรวน” ให้ “โลกรอด”

อย่างไรก็ตาม ภายในงานมีการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันของ ชุมชนทางจิตวิญญาณ ผู้นำทางศาสนา รัฐบาล ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา เยาวชน และพันธมิตรภาคเอกชน เพื่อร่วมทำงานบนจริยธรรมที่รักษาสิ่งแวดล้อมร่วมกันเพื่อเผชิญกับความท้าทายทางภูมิอากาศในอนาคต

เวทีสนทนานี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาล Bangkok Climate Action Week (BKKCAW) โดย มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ.) สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม Centre for Humanitarian Dialogue (HD Centre) Just Transitions Incubator (JUTI) และ ศาสนาเพื่อสันติภาพ ประเทศไทย สนับสนุนโดย The International Dialogue Centre – KAICIID

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active