โลกกำลังเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤต เวทีประชาสังคมนานาชาติเสนอเร่งสร้างความร่วมมือแก้ปัญหา

เวทีประชาสังคมเอเชียแปซิฟิก ปี 2568 พบพื้นที่ภาคประชาสังคมทั่วโลกกำลังหดแคบลงจากรัฐบาลใช้มาตรการปราบปราม จำกัดสิทธิและทุน เร่งระดมความเห็นผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย และวิถีชีวิตของผู้คน

สืบเนื่องจากวิกฤตปัญหาทั่วโลกที่มีความเชื่อมโยงและทับซ้อนกันทั้ง คอร์รัปชัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ PM 2.5 ปัญหาขยะ ปัญหาทรัพยากรทางทะเล ปัญหาที่ดินป่าไม้ สิทธิแรงงาน สิทธิสถานภาพสตรี LGBTQIAN+ ชาติพันธุ์ ประชาธิปไตย ความรุนแรง และ สงคราม นักเคลื่อนไหวและภาคประชาสังคมทั่วโลกจึงหาโอกาสรวมตัวกันและสร้างเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้น เพื่อร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันในทุกระดับ ทั้งในระดับท้องถิ่น ประเทศ และภูมิภาค จนนำไปสู่การจัดงาน “งานสัปดาห์ประชาสังคม นานาชาติ และเวทีประชาสังคมเอเชียแปซิฟิก ปี 2568”

วิกฤต

เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2568 บุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ Human Rights Development Foundation (HRDF) แถลงข่าวในงาน “ประชาสังคมโลก ทำอะไร: เปลี่ยนโลกด้วยมือเรา” ในงาน “สัปดาห์ประชาสังคมนานาชาติ และเวทีประชาสังคมเอเชียแปซิฟิก ปี 2568” ว่า โลกของเราจำเป็นต้องมีทางเลือกที่มากกว่านี้ในการหาทางออกจากวิกฤต เพราะโลกของเราถูกครอบงำโดยแนวคิดทุนนิยมเสรีใหม่ (Neoliberalism) ซึ่งได้สร้างปัญหาให้กับผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ทำให้โลกต้องเผชิญกับ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ทั้งเรื่องสภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วิกฤตความเหลื่อมล้ำ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความขัดแย้ง สงคราม เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของโลก

“วิกฤตเหล่านี้ มีรากเหง้ามาจากระบบเศรษฐกิจการเมืองที่ครอบงำโลกอยู่ในปัจจุบัน World Social Forum และ Asia Pacific Social Forum จึงเป็นความพยายามของภาคประชาชน ที่จะมาร่วมกันคิด ร่วมกันหาทางออก ร่วมกันสร้างความร่วมมือ หรือที่เรียกว่า Solidarity เพื่อที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย ในระดับโครงสร้าง และในระดับวิถีชีวิตของผู้คน”

ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ Asian Cultural Forum on Development Foundation สรุปมหกรรมในครั้งนี้ว่าเป็นการรวมตัวกันของภาคประชาชน ภาคประชาชน และนักกิจกรรมทางสังคม ที่ทำงานในหลากหลายประเด็นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อแลกเปลี่ยนสถานการณ์ ปัญหา และหาทางออกร่วมกัน

และจากการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างประชาสังคมต่างๆในภูมิภาค ตลอดทั้ง 5 วัน ได้มีข้อสรุปถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาคได้แก่

  1. ปัญหาวิกฤตโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตผู้คน โดยเฉพาะ “กลุ่มเปราะบาง” เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ เกษตรกรรายย่อย และคนชายขอบ
  2. วิกฤตความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นวิกฤตเรื้อรังมายาวนาน ที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากเข้าไม่ถึงทรัพยากร ทำให้เป็นกลุ่มคนยากจนและกลายเป็นกลุ่มเปราะบาง 
  3. วิกฤตประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ที่เกิดขึ้นทั่วภูมิภาค ซึ่งสัมพันธ์กับปัญหาความเหลื่อมล้ำ
  4. วิกฤตความขัดแย้งและสงคราม เพราะการมองข้ามบรรทัดฐานระหว่างประเทศ (international norms) เช่น กฎหมายระหว่าง องค์กรระหว่างประเทศ สนธิสัญญา ซึ่งเป็นบรรทัดฐานด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน เป็นผลพวงมาจากการล่าอาณานิคมใหม่ที่มาในรูปแบบของทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ ที่บรรษัทข้ามชาติเข้ามาผูกขาดทรัพยากรในประเทศอื่น ๆ 

ในทางแก้ไขปัญหา เวทีประชุมได้เสนอให้ภาคประชาชนและประชาสังคมสร้าง “ความร่วมมือ” (Solidarity) เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง นโยบาย และ วิถีชีวิต ต่อสู้เพื่อสิทธิ ความยุติธรรม และประชาธิปไตย โดยจะต้องเชื่อใน “พลังของภาคประชาชน”

ทั้งนี้ เพราะแนวโน้มทั่วโลกขณะนี้ พื้นที่ของภาคประชาสังคมกำลังหดแคบลงเรื่อย ๆ ผลมาจากรัฐบาลทั่วโลกกำลังใช้มาตรการปราบปราม จำกัดสิทธิและทุนของนักกิจกรรม นักข่าว และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

การใช้ยุทธศาสตร์คว่ำบาตร หรือการปฏิเสธที่จะไม่ซื้อสินค้าบริการ ไม่ติดต่อ หรือไม่ให้ความร่วมมือกับบุคคล องค์กร หรือประเทศใด เพื่อเป็นการประท้วงหรือกดดันให้เปลี่ยนแปลงนโยบายหรือวิถีปฏิบัติ จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจึงจะเห็นผลได้

“ในการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลง ต้องให้ความสำคัญของพลังของคนรุ่นใหม่ สร้างผู้นำนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ และสร้างเครือข่ายในการขับเคลื่อนต่อไป”

นอกจากนี้ เวทีได้ฝากความหวังและเชิญชวนสื่อมวลชน ทำหน้าที่เป็น “กระบอกเสียงให้กับคนที่ไม่มีเสียง” ให้สื่อสารเรื่องราวของประชาชนและการต่อสู้ของภาคประชาชนให้สังคมภายนอกได้รับรู้ออกไปให้กว้างที่สุด เพราะปัจจุบันสื่อมวลชนนำเสนอเสียงของรัฐ หรือ เสียงของทุน มากกว่าเสียงของประชาชน

จากข้อสรุปและข้อเสนอ“งานสัปดาห์ประชาสังคมนานาชาติ และเวทีประชาสังคมเอเชียแปซิฟิก ปี 2568” จึงไม่เพียงเป็นพูดคุยแลกเปลี่ยน ถอดบทเรียนการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นการรวมตัวเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวและ สร้างความร่วมมือกัน

บุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ Human Rights Development Foundation (HRDF) กล่าวกับ The Active ว่า และการได้จัดงานในประเทศไทย ส่งผลดีกับประเทศไทยตรงที่ภาคประชาสังคมจากต่างประเทศได้รับรู้สัมผัสมิติสังคม เศรษฐกิจ การเมืองไทย ได้มากขึ้น อีกทั้งภาคประชาสังคมนักวิชาการ ประชาชน นักเคลื่อนไหวเอง ได้มีโอกาสเรียนรู้ จากเพื่อน ๆ นักเคลื่อนไหวนักกิจกรรมจากต่างประเทศ มากกว่าเรียนรู้กระบวนการเคลื่อนไหวผ่านสื่อหรือผ่านข่าว ช่วยให้ลด “อคติ” และ “ความไม่รู้” ซึ่งเป็นต้นตอของความขัดแย้ง

“ความร่วมมือระดับภาคประชาชน” นั้นแตกต่างจาก “ภาครัฐ” แม้รัฐบาลอาจจะขัดแย้งกัน แต่ถ้าประชาชนตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ก็สามารถ “ร่วมมือกันได้” โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องพิธีการทูต

“งานสัปดาห์ประชาสังคมนานาชาติ และเวทีประชาสังคมเอเชียแปซิฟิก ปี 2568”  (International Civil Society Week & Asia Pacific Social Forum 2025 – ICSW & APSF 2025) เป็นเวทีระดับโลกที่รวมผู้นำองค์กรภาคประชาสังคม นักวิชาการ นักกิจกรรม และเยาวชนกว่า 1,300 คน จาก 90 ประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแสวงหาแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนสังคมอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน ซึ่งได้จัดขึ้นที่ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 1 – 5 พ.ย. 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสวนสันติพร

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active