ACT  เตือน “งบกลาง”  โกงง่าย หวั่นใช้ไม่คุ้มค่า แนะรัฐเร่งออกมาตรการสร้างความโปร่งใสด่วน

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เตือน งบกลาง กรณีฉุกเฉินและกระตุ้นเศรษฐกิจ กว่า 1.2 แสนล้านบาท เสี่ยง “สูงมาก” ที่จะเกิดการทุจริต เสนอ รัฐบาลเร่งออกมาตรการการใช้งบฯ เท่าที่จำเป็น เน้นความโปร่งใส และไม่ควรพลาดซ้ำ

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เผยแพร่บทความผ่านเพจ ให้ข้อมูลว่า “รายจ่ายงบกลาง” ปี 2569 วงเงิน 6.32 แสนล้านบาทถูกแบ่งใช้จ่ายหลายก้อน แต่ที่เสี่ยงสูงต่อการใช้อย่างบิดเบือน ไม่คุ้มค่าและคอร์รัปชัน คือ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 9.8 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ 2.5 หมื่นล้านบาท รวม 1.23 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน ยังมีงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 มูลค่า 1.57 แสนล้านบาทเพิ่มเข้ามาอีก  

ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบกลางรายการกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและการจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฯ กว่า 1.2 แสนล้านบาทมี “ความเสี่ยงสูงมาก” ที่จะเกิดคอร์รัปชันและการใช้จ่ายที่สูญเปล่า ไม่คุ้มค่า ไม่เกิดผลตามวัตถุประสงค์ที่กล่าวอ้าง ด้วยปัจจัยสำคัญคือ

(1) งบฯ นี้มีความยืดหยุ่นสูงที่จะนำไปใช้โดยไม่มีแผนล่วงหน้า ทำให้อนุมัติได้ง่ายและเร็ว โครงการที่ได้รับอนุมัติไม่ต้องผ่านกระบวนการจัดทำงบประมาณที่ต้องศึกษา ตระเตรียม คัดกรอง ไม่ได้เข้าสู่การตรวจสอบของรัฐสภาเช่นเดียวกับงบประมาณอื่น

(2) แม้กฎหมายให้เสนอ ครม. อนุมัติ แต่ในทางปฏิบัติเป็นที่รู้กันดีว่าผู้มีอำนาจจริงคือ นายกรัฐมนตรี เท่ากับเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจสามารถเลือกโครงการตามดุลยพินิจได้ง่าย เมื่อไร้กติกาจึงขาดความโปร่งใส เป็นไปตามอิทธิพลของพรรคการเมืองและพวกพ้องได้มาก  

(3)  การอ้างภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน เป็นเงื่อนไขให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษได้

“เมื่อพูดถึงงบฉุกเฉินจำเป็น คนทั่วไปมักนึกถึงงบภัยพิบัติ งบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ งบแก้ปัญหาน้ำท่วม งบฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานหลังน้ำท่วม งบสู้ภัยแล้ง งบป้องกันไฟป่า งบแก้ปัญหาศัตรูพืชระบาด ฯลฯ แต่ความจริงงบก้อนนี้ยังรวมถึงงบราชการลับ งบปลูกป่าปลูกต้นไม้ โครงการขุดลอกคูคลอง/ท่อ ฯลฯ” 

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ยังให้ข้อสังเกตถึงการใช้งบประมาณกลางในรัฐบาลก่อนหน้านี้อีกว่า ในปี 2565 รัฐบาลได้อนุมัติงบกลาง 2 พันล้านบาท ให้ “โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม เพื่อสร้างมูลค่าและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน” ตามที่นักการเมืองดังและอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีและที่ปรึกษารองนายกฯ ขอมา  

“งบก้อนนี้ถูกกระจายไปให้ 4 มหาวิทยาลัยในภาคอีสานทำโครงการวิจัยลักษณะเดียวกัน  ปัจจุบันผู้เกี่ยวข้องกับเงินก้อนนี้กำลังถูกดีเอสไอดำเนินคดีทุจริต”

ขณะที่ “งบเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ปี 2569 จำนวน 1.57 แสนล้านบาท ที่กำหนดให้ทุกหน่วยงานเร่งเสนอโครงการด่วนมาก ทำให้นึกย้อนบทเรียนความเสียหายเมื่อครั้งโครงการไทยเข้มแข็งและโครงการเราไม่ทิ้งกัน เพราะด้วยเวลาที่จำกัดทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ไม่มีเวลาคิด จึงงัดเอาแฟ้มโครงการที่ไม่กล้าเสนอเข้าสภา และเป็นโครงการที่ถูกตัดทิ้งในการพิจารณางบประมาณประจำปี มาตัดแต่งแล้วยัดกลับมาใหม่

“พวกนี้มักเป็นโครงการฟุ่มเฟือย หละหลวม ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์คุ้มค่า หรือไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงาน”

 นอกจากนั้น ยังมีตัวอย่างโครงการที่นักวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ตั้งคำถามว่า กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงไหม ถึงมือประชาชนจริงหรือไม่ เช่น จังหวัดระยอง เสนองบฯ 50 ล้านบาทสร้างซุ้มตรวจการและรั้ว ภายใต้ชื่อ “โครงการปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สมเด็จพระเจ้าตากฯ” และอีกโครงการเป็นการติดตั้งเสาไฟบนถนนอ่างดอกกราย งบ 5.7 ล้านบาท เป็นต้น

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐในยามจำเป็น กรมบัญชีกลางมักออกมาตรการเร่งรัดการจัดซื้อฯ เช่น ลดเวลาการดำเนินขั้นตอนจัดซื้อฯ และผ่อนปรนเงื่อนไขการประกวดราคา แต่เจตนาดีเช่นนี้กลับทำให้พวกคนโกงมีข้ออ้างหลบเลี่ยงมากขึ้น

“ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า การใช้งบกลางมีเสี่ยงสูงที่จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองและเกิดคอร์รัปชัน แม้ว่าโครงการจะเข้าสู่ระบบตรวจสอบปรกติเมื่อเริ่มใช้เงินแล้ว แต่การประเมินผลว่าโปร่งใส คุ้มค่าเงินหรือไม่ ยังเป็นเรื่องยากตลอดมา เพราะอิทธิพลตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องและกระบวนการดำเนินการภายใต้ข้ออ้างว่าฉุกเฉินเร่งด่วน”

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เสนอว่า รัฐบาลจะต้องทำให้การอนุมัติและการดำเนินโครงการที่ใช้งบกลางมีเท่าที่จำเป็น ทุกขั้นตอนดำเนินการต้องเปิดเผยแบบทันทีและตรวจสอบย้อนหลังได้ เปิดให้สื่อมวลชนและประชาชนร่วมตรวจสอบได้โดยเสรี

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active