ผลสำรวจ ปชช. เชื่อ ต้นเหตุตึก สตง. ถล่มจาก คอร์รัปชัน

ACT  แฉ “โกงครบสูตร แม้ระเบียบครบถ้วน”  จับตาเงินภาษี 2 แสนล้านบาท/ปี หายเข้ากระเป๋าบางกลุ่ม ปชช. จี้รัฐเอาผิด “ตัวการใหญ่” ไม่ใช่แค่  “จับแพะ” เสนอมาตรการแรง “ตัดสิทธิรับเหมาตลอดชีวิต – ประหารคนโกง”

มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย) หรือ ACT กล่าวว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนผ่านระบบ D-vote หัวข้อ “คุณคิดว่าเหตุการณ์อาคาร สตง.  แห่งใหม่ถล่ม เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันหรือไม่? ” ซึ่งเปิดให้ประชาชนโหวตระหว่างวันที่ 7-10 เม.ย.  2568 โดยได้ผลสำรวจเบื้องต้นจากกลุ่มตัวอย่างกระจายทุกช่วงอายุและภูมิภาคจำนวน 182 ตัวอย่าง ค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 87.0 พบว่าร้อยละ 98 ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าเหตุการณ์อาคาร สตง.ถล่มเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน 

เมื่อถามเจาะลึกถึงสาเหตุตึกถล่ม ประชาชนระบุว่ามาจาก  3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.คอร์รัปชันของผู้เกี่ยวข้อง 2.การใช้วัสดุไม่ได้คุณภาพ เช่น เหล็กปลอม และ 3. กำหนดแบบก่อสร้างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น ต้องการเงินทอน  นอกจากนี้ ในส่วนของการลงโทษผู้กระทำผิด ประชาชนเห็นว่ารัฐควร “ฟันให้ถึงตัวใหญ่” ไม่ใช่แค่โยนแพะ โดยเสียงส่วนใหญ่ ไม่ต้องการให้แค่หาผู้รับเหมากลับมารับผิดแต่เรียกร้องให้ดำเนินคดี “ผู้มีอำนาจ” ที่อยู่เบื้องหลัง 

สตง.

รวมทั้งเสนอให้ขึ้นแบล็กลิสต์   บริษัทรับเหมาที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ห้ามรับงานรัฐอีกตลอดชีวิต และจำคุกตลอดชีวิตผู้เกี่ยวข้องกับคอร์รัปชันโดยไม่ลดหย่อนโทษ ส่วนแนวทางแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยตึกถล่ม 

 นอกจากนี้ เสียงสะท้อนจากประชาชนยังเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ 

  1. ปรับปรุงกฎหมายให้เข้มงวด บังคับให้ทุกโครงการต้องมีกระบวนการตรวจสอบคอร์รัปชัน ทั้ง ตรวจสอบผู้รับเหมา ผู้ควบคุมงาน ตรวจรับวัสดุ 
  2. บังคับใช้กฎหมายปราบคอร์รัปชันด้วยบทลงโทษเด็ดขาดรุนแรงถึงขั้น จำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต
  3. รัฐต้องปรับปรุงระบบข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างให้ประชาชนตรวจสอบอย่างโปร่งใส
  4. ให้ทุกโครงการเมกะโปรเจกต์ (มูลค่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป) ต้องผ่านข้อตกลงคุณธรรม ให้ประชาชนร่วมสังเกตการณ์ตั้งแต่ต้น 

“โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ หรือโครงการร่วมลงทุนภาครัฐกับเอกชน เป็นโครงการ  ที่ใช้งบฯลงทุนสูงเป็นเป้าหมายของคนโกง โดยอาศัยช่องทางตามระเบียบ ดูเผิน ๆ เหมือนถูกต้องตามระเบียบทุกประการ แต่กลับมีช่องพลิกแพลงให้คอร์รัปชันหลากหลายเทคนิค เช่น การล็อคสเปค เพื่อให้เฉพาะบริษัทบางรายเท่านั้นที่ผ่านคุณสมบัติ การฮั้วประมูล โดยตกลงราคาล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ชนะได้งาน ส่วนผู้แพ้ได้ “ค่าตอบแทน” การแบ่งสัญญา ล่วงหน้าตาม ‘คิว’ ผู้รับเหมาที่ต้องได้รับงาน รวมถึงการหักหัวคิว หรือเงินทอน ร้อยละ 20 – 30 ของมูลค่างาน เพื่อจ่ายให้เจ้าหน้าที่หรือผู้มีอำนาจเอื้อประโยชน์ ที่ผ่านมาพบว่า 3 ขั้วอำนาจที่ร่วมมือกันแนบแน่น ทำให้คอร์รัปชันดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง คือ ข้าราชการ นักการเมือง และนายทุน ข้าราชการที่รู้เห็นแต่เงียบเฉย  ถือว่ามีส่วนร่วมเช่นกัน “ 

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าว

ทั้งนี้ งบประมาณงานก่อสร้างภาครัฐแต่ละปี มีมูลค่ารวมกว่า 780,000 ล้านบาท หากคอร์รัปชันเฉือนหัวคิวไปร้อยละ 30 จะคิดเป็นเงินสูงถึงกว่า 200,000 ล้านบาท ที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจ เข้าสู่กระเป๋าคนบางกลุ่ม 

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวว่า คอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และ การนิ่งเฉยคือการสมรู้ร่วมคิด สื่อมวลชนและภาคประชาชนมีบทบาทสำคัญในการกดดันให้เกิด การเปลี่ยนแปลง  “เราต้องไม่แค่เรียกร้องให้รัฐโปร่งใส แต่ต้องปฏิเสธคอร์รัปชันทุกรูปแบบ หยุดระบบฮั้ว หัวคิว เงินทอน และรวมพลังประชาชนลุกขึ้นสู้ เพื่อเปลี่ยนประเทศของเรา”

ทั้งนี้ประชาชนสามารถเข้าร่วมโหวตแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่องได้ที่เพจขององค์กรฯ  เพื่อสะท้อนเสียงและนำไปสู่การผลักดันไม่ให้โศกนาฏกรรมซ้ำรอยต่อไป

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active