องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ชวนประชาชนเฝ้าระวัง “คอร์รัปชัน” สกัดโครงการรัฐทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จผลาญเงินภาษีประชาชน ใน อบจ.และเทศบาล
มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า พฤติกรรมโกงกินและไร้รับผิดชอบของผู้มีอำนาจ ทำให้เกิดอาคารราชการทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นของหน่วยงานเดิม ๆ แม้จะมาจากหลายหน่วยงานแต่กลับมีรูปแบบเหมือนกัน เช่น ศูนย์โอทอป ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ศูนย์การเรียนรู้ ประปาหมู่บ้าน โรงน้ำดื่มประชารัฐ บ้านพักเจ้าหน้าที่ ตลอดจนสนามกีฬาประจำอำเภอต่าง ๆ ฯลฯ ทุกวันนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่า ทั่วประเทศมีโครงการเน่า ๆ อยู่มากน้อยแค่ไหน มูลค่ารวมกันมากแค่ไหน?
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ชัดเจนว่า โครงการทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จที่กระจายทั่วประเทศจำนวนไม่น้อยเป็นโครงการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. ทำด้วยงบประมาณของตนเอง หรือเงินสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น น้ำประปาชุมชน เตาเผาขยะ โรงปั่นไฟฟ้า ฯลฯ โครงการพวกนี้จะคล้ายๆ กับที่ อปท. อื่นในย่านใกล้เคียงทำกัน อาจเพราะต้องการให้มีผลงานไม่น้อยหน้าที่อื่น หรือถูกโน้มน้าว กดดัน จาก “เครือข่าย” ข้าราชการระดับสูง พ่อค้า นักการเมืองและผู้มีอิทธิพล ที่เตรียมแผนการจัดซื้อและจ่ายเงินทอนทุกอย่างมาให้แล้ว
ขณะที่อีกกลุ่มจะมีความซับซ้อนกว่ามาก เป็นโครงการของหน่วยงานจากส่วนที่กลางคิดขึ้นเอง เขียนโครงการ จัดหางบประมาณ หาผู้รับเหมาก่อสร้างให้ โดยอ้างว่าทำไปเพื่อสนับสนุนหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งมี อปท.เป็นเป้าหมายเช่นกัน เช่น โครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่ง โครงการสนามกีฬา 31 แห่ง เป็นต้น กระจัดกระจายหลายจังหวัด และ มีบ้างที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ เช่น อควาเรียมหอยสังข์ที่สงขลา มูลค่า 1,400 ล้านบาทของกระทรวงศึกษาธิการ
ทั้งนี้ โครงการประเภททิ้งร้างสร้างไม่เสร็จเกิดขึ้นจาก
- คอร์รัปชันและผลประโยชน์ทับซ้อน พฤติกรรมที่ชั่วร้ายกว่าฮั้วประมูลคือ งานที่ถูกระบุว่าเป็น “งานของผู้ใหญ่” เพราะล็อกตัวผู้รับเหมาได้ หรือนำไปเร่ขายผ่าน “นายหน้า” เพื่อกินส่วนต่าง 3% – 10% ก็ได้ เมื่อมีผู้รับเหมาซื้องานไปด้วยหวังจะได้กำไรงาม แต่หากไม่สามารถลักสเปก ลดเนื้องานได้ตามต้องการ สุดท้ายก็เจ๊งเพราะต้นทุนสูงจากค่านายหน้าที่บวกๆ กันไป ทำให้โครงการนั้นสร้างไม่เสร็จ
- ความมักง่าย เพราะหน่วยงานส่วนกลางเจ้าของงบประมาณ/โครงการ ทำไปโดย “ไม่สอบถาม” ความต้องการ หรือ “ไม่ศึกษา” ความเหมาะสมก่อน ส่งผลให้หลายพื้นที่ไม่ยอมรับโอนโครงการ เพราะไม่อยากได้ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ทำเลไม่ดี ห่างไกลชุมชนหรือแหล่งท่องเที่ยวไม่คุ้มค่า หลายพื้นที่รับมอบงานแล้วปล่อยทิ้งเพราะไม่มีงบดูแลรักษา เกิดภาระบริหารจัดการ ดูแลรักษายุ่งยากเกินไป ขณะที่บางแห่ง แม้อยากโอนสิ่งปลูกสร้างแต่ก็โอนไม่ได้ เพราะสภาพงานทรุดโทรม – บกพร่อง ทำให้ผู้รับโอนกลัวต้องลงทุนปรับปรุงอีกมาก
“กลายเป็นว่า คนมีตำแหน่งใหญ่แต่สายตาสั้นคิดสร้างตำนานไว้อวดอ้างว่าตนมีผลงานมากมาย โดยไม่สนใจว่าการหลงอำนาจของตนจะทิ้งความเสียหายไว้ข้างหลังเพียงใด”
- ทำผิดตั้งแต่ต้น เช่น ก่อสร้างในพื้นที่ป่าสงวน เช่น กรณีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หรือกรณีสนามฟุตซอล 37 แห่ง ที่จงใจยัดเยียดของคุณภาพต่ำไปให้โรงเรียนต่าง ๆ
- อื่น ๆ เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการถูกยุบไป เช่น สิ่งปลูกสร้างเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด บางแห่งเมื่อรับโอนมาแล้วก็ใช้งานครั้งเดียว แล้วปล่อยทิ้งร้างไป
“ปัญหาเหล่านี้แม้ตกเป็นข่าวใหญ่ให้สังคมก่นด่ามาต่อเนื่อง แต่รัฐก็จัดการอะไรไม่ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีอำนาจ เมื่อเกิดความเสียหายก็ต้องรอการสอบสวนที่ยาวนาน สตง. แม้รับรู้แต่ก็เสียหายไปแล้ว หลายเรื่องยังก้ำกึ่งที่ ป.ป.ช. จะเข้าไปสอบสวนเอาผิด สุดท้ายมักจบด้วยการที่รัฐต้องหางบไปโปะไม่จบสิ้น”
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าว
ที่ผ่านมา เรื่องร้องเรียนถึง ป.ป.ช.ประมาณร้อยละ 40 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ อปท.และมีงานวิจัยระบุว่า คนในอปท.ร้อยละ 21.6 ยืนยันว่า เคยพบเห็นการทุจริตในหน่วยงานของตน โดยในจำนวนนี้ มีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้นที่ทำเรื่องร้องเรียน และนี่เป็นเหตุผลที่องค์กรฯ ขอเชิญชวนประชาชนผู้เป็นเจ้าของเสียง ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ มาร่วมกันทำหน้าที่ตรวจสอบและติดตามการทำงานของคณะผู้บริหารอบจ.และเทศบาลกันตั้งแต่ในช่วงเริ่มเข้ามาบริหารงาน
“สรุปคือประเทศของเราไม่ได้ยากจน เห็นได้จากมีแหล่งทุนที่กำเงินไปลงทุนมากมาย แต่สุดท้าย คอร์รัปชัน ได้ผลาญทรัพยากรของชาติ ทำลายความรู้สึกและอนาคตประชาชนไปอย่างไร้ยางอาย”
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ยังกล่าวอีกว่า มีข้อมูลล่าสุดว่า สำนักตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันนำโดย รื่นวดี สุวรรณมงคล ผู้ตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับ “การดำเนินการตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาสิ่งปลูกสร้างของส่วนราชการที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน” โดยใช้กลไกการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจการการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน (Government Innovation Lab) และกลไกของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) ในการแก้ปัญหานี้ นับเป็นแสงสว่างให้ประชาชนได้เห็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมั่นใจว่าการแก้ไขปัญหาจริงจังกำลังเริ่มต้น