กรมอุตุฯ ย้ำสภาวะเอลนีโญยังอยู่ต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2567 กำชับหน่วยงานเก็บน้ำระยะยาว 2 ปี ลดปัญหาภัยแล้ง ภาคเกษตรควรปรับตัวมุ่งปลูกพืชใช้น้ำน้อย
กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ปัจจุบันปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรและความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้หรือเอนโซ ได้เข้าสู่สภาวะเอลนีโญแล้ว แต่เนื่องจากยังเป็นเอลนีโญกำลังอ่อน จึงส่งผลให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนมีค่อนข้างน้อย โดยต่ำกว่าค่าปกติร้อยละ 28 และอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าทุกปี ซึ่งต่อจากนี้ไปอีก 1-2 ปี ควรเร่งเก็บน้ำ
ด้าน บุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะเลขานุการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เปิดเผยว่า ในรอบสัปดาห์นี้ประเทศไทยเข้าสู่สภาวะเอลนีโญกำลังอ่อน หน่วยงานด้านน้ำควรวางแผนบริหารจัดการน้ำให้เหลือสำรองถึงปีหน้า และเตรียมซักซ้อมแผนเผชิญเหตุรับมือพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย หลังกรมอุตุฯ คาด ก.ค. – ส.ค. 2566 จะยังมีฝนมาก ทำให้ในช่วงฤดูแล้งต่อเนื่องมาจนถึงฤดูฝน มีการจัดสรรน้ำเพื่อส่งเสริมด้านการเพาะปลูกพืชในจำนวนค่อนข้างมากในระยะนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง โดยภาคเหนือมีปริมาณฝนต่ำกว่าค่าปกติร้อยละ 38 ในขณะที่ภาคกลางมีปริมาณฝนต่ำกว่าค่าปกติถึงร้อยละ 55
สำหรับแผนจัดสรรน้ำฤดูฝนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา จำนวน 5,500 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ขณะนี้จัดสรรน้ำไปแล้ว จำนวน 2,799 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 51 ของแผนทั้งหมด ซึ่งถือเป็นปริมาณน้ำจำนวนมาก เพื่อเป็นการส่งเสริมการเพาะปลูกของเกษตรกรในพื้นที่ เนื่องจากไม่สามารถปลูกข้าวนาปีโดยใช้น้ำฝนเป็นหลักได้จากผลกระทบของเอลนีโญ โดยขณะนี้ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีการเพาะปลูกไปแล้ว 5.84 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 71 ของแผนการเพาะปลูกในช่วงฤดูฝนปีนี้
ประเทศไทยจะประสบกับสภาวะเอลนีโญอย่างต่อเนื่อง โดยจากเอลนีโญกำลังอ่อนในปัจจุบันจะกลายเป็นเอลนีโญกำลัง ปานกลางในช่วง ต.ค. – ธ.ค. 66 หรือปลายปีนี้ จึงต้องมีการใช้ ONE MAP เพื่อประเมินสถานการณ์น้ำต้นฤดูแล้ง ณ วันที่ 1 พ.ย. 2566 โดยคาดว่าจะมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง ทั่วประเทศ จำนวน 46,177 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 65 ของความจุรวม ในจำนวนนี้เป็นน้ำใช้การ 22,635 ล้าน ลบ.ม. หริอคิดเป็นร้อยละ 48 ซึ่งปริมาณน้ำใช้การที่คาดการณ์นี้ มีจำนวนน้อยกว่าปริมาณน้ำใช้การ ณ วันที่ 1 พ.ย. 65 อย่างไรก็ตาม หากมีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพก็จะมีน้ำเพียงพอ
“แต่เนื่องจากการคาดการณ์ของ กรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า สภาวะเอลนีโญจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2567 และค่อนข้างมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงมี ความจำเป็นต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำในระยะยาว 2 ปี เพื่อสำรองน้ำล่วงหน้าไว้สำหรับการใช้น้ำในกิจกรรมต่าง ๆ ในฤดูแล้งหน้า ไปจนถึงส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวนาปีในช่วงฤดูฝน ปี 67 เพื่อยืนยันผลผลิตให้แก่เกษตรกรด้วย หากเกิดกรณีฝนน้อย”
นายบุญสม กล่าวต่อว่า สำหรับการให้ความช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยแล้งในช่วงฤดูฝน ได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เช่น อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งได้ประสานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้มี การเคลื่อนย้ายเครื่องจักรและเครื่องสูบน้ำระยะไกลจากส่วนกลางเพื่อเข้าให้ความช่วยเหลือ รวมถึง สทนช. ได้มีการประสานทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการร่วมแก้ไขปัญหา
โดยปัจจุบันมีการแก้ไขปัญหาในพื้นที่แล้ว รวมทั้ง กอนช.ได้ดำเนินการตาม 12 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 66 อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการที่ 9 เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทุกประเภทช่วงปลายฤดูฝน รวมถึงแหล่งน้ำธรรมชาติและทางน้ำธรรมชาติ และเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่มีการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำ มีการตรวจสอบและวางแผนการใช้น้ำในช่วงฤดูแล้ง ปี 66/67 โดยให้เกษตรกรงดเพาะปลูกพืชต่อเนื่อง เน้นการเพาะปลูกพืชน้ำน้อย เพื่อให้ มีน้ำใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงปีหน้า
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ในช่วงเดือน ก.ค. – ส.ค. 66 จะยังมีปริมาณฝนค่อนข้างมาก จึงอาจเกิดอุทกภัยได้ในบางพื้นที่ กอนช. จึงได้มีการดำเนินการตามมาตรการที่ 8 ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุและการจัดตั้ง ศูนย์ส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย โดยมีโครงการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุศูนย์ส่วนหน้าและการสร้างความเข้มแข็งเครือข่าย ภาคประชาชน ใน 6 พื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่ จ.เชียงราย จ.ขอนแก่น จ.เพชรบุรี จ.ยะลา จ.ลพบุรี และ จ.ปราจีนบุรี โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ สัปดาห์นี้ ในวันที่ 29-30 มิ.ย. 66 ณ จ.เชียงราย เป็นที่แรก