เดินหน้า “น้ำถึงไร่นา น้ำสะอาดทุกหมู่บ้าน แก้ปัญหาภัยพิบัติด้านน้ำ” เตรียมเสนอ ครม. ภายในเดือนสิงหาคมนี้ สั่งกรมชลประทาน เตรียมพร้อมลดความเดือดร้อนประชาชน ขณะที่ อุตุฯ เตือน เหนือ อีสาน เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน
วันนี้ (5 ส.ค. 67) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนปี 2567 ที่ ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน โดยที่ประชุมได้ติดตามร่างแผน 3 ปี ด้านทรัพยากรน้ำ และโครงการสำคัญ เพื่อให้ “น้ำถึงไร่นา น้ำสะอาดทุกหมู่บ้าน แก้ปัญหาภัยพิบัติด้านน้ำ” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยขณะนี้มอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการ 3 ด้าน
- มอบสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เร่งรัดการยกร่างแผนฯ ให้แล้วเสร็จ เพื่อเสนอต่อ ครม. ภายในเดือนสิงหาคมนี้ และให้ สทนช. รับผิดชอบในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผน และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ
- มอบกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ สทนช. บูรณาการการดำเนินงานตามแผนงาน เพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามที่ได้ตั้งเป้าไว้
- มอบ สทนช. ติดตามและกำกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนดำเนินงานตามแนวทางการบริหารจัดการน้ำ และปฏิบัติงานตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝนอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ นายกฯ ยังมอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางการดำเนินงาน ทั้งในเรื่องภารกิจการถ่ายโอนอำนาจไปสู่ท้องถิ่น และการขอใช้พื้นที่ที่เป็นที่ดินของรัฐ เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นต่อไปด้วย
ขณะที่ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ขณะนี้ปรากฏการณ์เอนโซที่อยู่ในสภาวะปกติได้เปลี่ยนเข้าสู่สภาวะลานีญาแล้ว ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมไปจนถึงกันยายน 2567 และมีแนวโน้มต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณฝนตกหนักถึงหนักมากกระจายไปทั่วประเทศ
กรมชลประทาน ได้ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำท่าอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการนำข้อมูลการคาดการณ์ปริมาณฝน และปริมาณน้ำท่าจากสถานีโทรมาตร มาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดและสอดคล้องกับสถานการณ์ มีการจัดจราจรน้ำให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกันระหว่างพื้นที่ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ได้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการติดตามสถานการณ์น้ำท่ารายชั่วโมง เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำได้อย่างทันต่อเหตุการณ์ มีการกำหนดพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย จัดเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ เครื่องจักรสนับสนุนอื่น ๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่เสี่ยง ที่พร้อมจะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที
ขณะเดียวกันยังบูรณาการร่วมกับจังหวัด องค์กรปกครองท้องถิ่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนถึงสถานการณ์น้ำให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญได้เน้นย้ำให้ทุกโครงการชลประทานปฏิบัติตาม 10 มาตรการรองรับฤดูฝนปี 67 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถป้องกันและบรรเทาปัญหาที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด
โดยกรมชลประทาน มีแนวทางการพัฒนาโครงการเพื่อป้องกันอุทกภัย ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 3 ปี (ปี 2564 – 2566) ทั้งลุ่มน้ำยม-น่าน ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำชี-มูล ลุ่มน้ำบางปะกง ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน และลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง โดยขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างเร่งรัดงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนงาน จำนวน 3 โครงการ โครงการที่สามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2569 จำนวน 5 โครงการ และโครงการที่อยู่ระหว่างการติดตามเร่งรัดกระบวนการศึกษา จำนวน 2 โครงการ
ขณะที่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็เน้นย้ำ กรมชลประทานให้เตรียมความพร้อม ทั้งในเรื่องเครื่องจักร เครื่องมือ เจ้าหน้าที่ ประจำจุดเสี่ยง การกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ และการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเดือดร้อนให้ประชาชน
สำหรับสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันนี้ (5 ส.ค. 67)
ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.เลย (150 มม.) ภาคกลาง : สุพรรณบุรี (113 มม.) ภาคตะวันออก : จ.นครนายก (108 มม.) ภาคใต้ : จ.สุราษฎร์ธานี (104 มม.) ภาคเหนือ : จ.น่าน (99 มม.) ภาคตะวันตก : จ.ประจวบคีรีขันธ์ (69 มม.)
โดยวันนี้ – 8 สิงหาคมนี้ จะมีพื้นที่เสี่ยง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ประกอบด้วย
ภาคเหนือ : จ.แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, เชียงราย, ตาก, ลำปาง, พะเยา, แพร่, น่าน, อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.เลย, หนองคาย และบึงกาฬ
ทั้งนี้ได้เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่า ร้อยละ 80 โดย จ.เชียงใหม่, พะเยา, น่าน, พิษณุโลก, เลย, หนองคาย และบึงกาฬ เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ระดับน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ
บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของลำน้ำงาว (จ.เชียงราย), แม่น้ำสาย (จ.เชียงราย), แม่น้ำน่าน (จ.น่าน), แม่น้ำยม (จ.แพร่ พะเยา และพิษณุโลก), ลำน้ำปาด (จ.อุตรดิตถ์) และแม่น้ำแควน้อย (จ.พิษณุโลก)