เปิดผลวิจัย ‘สัมปทานไม้ – โลกรวน’ ตัวการดินถล่ม ‘ชุมชนห้วยหินลาดใน’ หักล้างอคติชาติพันธุ์ทำลายป่า

นักวิชาการ ชี้ องค์ความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้านจัดการชุมชน ช่วยให้อยู่รอด ฟื้นฟูเพื่อรับมือภัยพิบัติในอนาคต ขณะที่ ภาคประชาชน ชี้ ข้อมูลวิจัยสะท้อนความผิดพลาดนโยบายอนุรักษ์ทรัพยากรของภาครัฐ จี้ เดินหน้ากลไกพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม สร้างส่วนร่วมจัดการดูแลทรัพยากร

เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 68 ที่ชุมชนห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ, สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.), คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), มูลนิธิธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (GSEI) พร้อมด้วย ตัวแทนชุมชนบ้านห้วยหินลาดใน และ ชุมชนบ้านผาเยือง ร่วมจัดเวทีสาธารณะ ว่าด้วยการศึกษาปัจจัยการถล่มของดินในป่าอนุรักษ์ของชุมชนบนพื้นที่สูง กรณีศึกษาบ้านห้วยหินลาดใน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย

เพื่อเปิดข้อมูลงานศึกษาวิจัยเรื่องปัจจัยการถล่มของดินในป่าอนุรักษ์ กรณีศึกษาบ้านห้วยหินลาดใน ที่ประสบเหตุการณ์ภัยพิบัติ ฝนตกหนัก น้ำท่วม และดินถล่ม เมื่อช่วงเดือนกันยายน ปี 2567 และกิจกรรมเดินเท้าสำรวจพื้นที่ดินถล่มบริเวณป่าอนุรักษ์ของชุมชน

ป่าสมบูรณ์ ดินอุ้มน้ำได้ แต่ไม่เชื่อมโยงกับปริมาณฝนหนัก

จตุพร เทียรมา อาจารย์ภาควิชาการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้ศึกษาวิจัยครั้งนี้ ระบุถึงข้อมูลสำคัญที่พบจากการศึกษาว่า จากการเข้ามาศึกษาพื้นที่บ้านห้วยหินลาดในเป็นระยะเวลาหลายปี ทำให้ทราบบริบทชุมชนเชิงภูมิศาสตร์ การจัดการทรัพยากร และสายน้ำ ประกอบกับปรากฎการณ์ลานีญ่าที่เกิดภาวะฝนตกมากเป็นปกติ ข้อมูลสภาพภูมิอากาศในช่วงนั้นที่มีฝนตกหนักทางภาคเหนือจากพายุฤดูฝน ซึ่งรูปแบบการตกของฝนพายุลูกนี้ตามปกติแล้วควรจะผ่านทะลุภาคเหนือของไทยและเข้าสู่ประเทศพม่า แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พายุเดินทางมาถึงพื้นที่เชียงรายเกิดการแช่ และหยุดนิ่งจึงทำให้ฝนตกในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้คือ การแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ทำให้ปริมาณน้ำในอากาศมีจำนวนมากกว่าปกติ

“สิ่งนี้ไม่เคยคิดมาก่อนว่า พื้นที่บ้านห้วยหินลาดในจะเกิดดินโคลนถล่ม เพราะเราถูกสอนมาว่าพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์นั้นจะไม่เกิดดินโคลนถล่ม หรือการพังทลายของหน้าดิน เพราะดินสามารถอุ้มน้ำได้ แต่ความรู้เหล่านั้นไม่ได้เชื่อมโยงกับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา เลยเป็นที่มาของการศึกษาภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ได้มีการวางตำแหน่งพื้นที่ที่มีความสูงเท่านี้มีดินโคลนถล่ม และพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่มีดินโคลนถล่ม เพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบเชิงพื้นที่ในความชันเท่ากัน ความสูงเท่ากัน อยู่ในพื้นที่หุบเขาเดียวกันแต่คนละฝั่ง ที่เป็นการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์แบบปกติ”

จตุพร เทียรมา

จตุพร เทียรมา อาจารย์ภาควิชาการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

ฝนหนักจนเกิดกว่าที่ดินจะรับน้ำไหว

หลังจากวางแผนการศึกษา ทางภาควิชาการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นักนิเวศวิทยา นักวิเคราะห์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ และนักเศรษฐศาสตร์ ได้เข้ามาศึกษาในพื้นที่ พบว่า บริเวณที่เกิดดินโคลนถล่มนั้นมีความลึกของหน้าดินประมาณ 1 เมตร 3 เซนติเมตร ในพื้นที่ที่ไม่เกิดดินโคลนถล่มมีความลึก 70 เซนติเมตร หลังจากการคำนวณโครงสร้างของดินเพื่อหาน้ำหนักดินและน้ำหนักของน้ำที่สามารถแทรกซึมลงไปในดิน หาขีดความสามารถสูงสุด ในการดูดินที่อุ้มน้ำจะพบว่า พื้นที่ 1 ตารางเมตรและความลึกลงไปในดิน 1 เมตร ในพื้นที่ที่เกิดดินโคลนถล่มจะรับน้ำหนักที่ 1,700 กิโลกรัม ซึ่งหมายความว่าในบริเวณนั้นหากฝนตกอย่างต่อเนื่องดินจะรับน้ำเข้าไปอยู่ในช่องว่างของดินประมาณ 1,700 กิโลกรัม ความเกี่ยวเนื่องของพื้นที่ของการอุ้มน้ำโดยปกติน้ำที่อยู่ในพื้นที่ประมาณ 6 ร้อยกว่าลิตรในพื้นที่ 1 ตารางเมตรหากฝนหยุดดินจากค่อย ๆ ระบายน้ำที่อุ้มออกผ่านชั้นหินด้านล่างและแทรกซึมตามลำห้วยเป็นระบบแบบนี้ซึ่งตรงกับแนวคิดที่ว่า “ป่าอุ้มน้ำ”

อย่างไรก็ตาม ปรากฎการณ์ที่ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดินที่ระบายน้ำก็ระบายเพียงอย่างเดียว ส่วนดินที่รับน้ำก็รับอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่มีช่องว่างของดินทำให้ดินต้องแบกรับน้ำหนัก 1,700 กิโลกรัมอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา ในขณะเดียวกันชั้นที่ลึกลงไปนั้นเป็นหินทำให้เกิดการลื่น จากการวิจัย ยังพบว่า พื้นที่ที่ไม่มีดินโคลนถล่มนั้นมีน้ำหนักเพียงแค่ 1,200 กิโลกรัม มีความต่างประมาณ 500 กิโลกรัมใน 1 ตารางเมตร

‘สัมปทานป่า’ ในอดีต อีกปัจจัยทำดินถล่ม

ทีมที่ทำการศึกษาได้สำรวจต้นไม้ในพื้นที่แปลงที่มีดินโคลนถล่ม พบว่า เรือนยอดของต้นไม้สูงระดับเดียว คือ 51% จะเป็นประเภทไม้ก่อ เป็นไม้เนื้ออ่อนที่ไม่มีรากแก้ว ส่วนแปลงที่ไม่มีดินโคลนถล่มมีเรือนยอด 3 – 4 ชั้น มีไม้ก่อ ประมาณ 20% อีก 80% เป็นไม้อื่น ซึ่งความหลากหลายของพันธุ์ไม้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดินโคลนถล่ม คือ ในทางทฤษฎีการศึกษาความสูงของเรือนยอดต้นไม้ พบว่า ต้นไม้ที่มีความสูงระดับเดียวการรับแรงปะทะของเม็ดฝนและน้ำหนักของเม็ดฝนจะเท่ากัน เปรียบเทียบคือ ถ้าหากเรือนยอดไม้เท่ากัน น้ำฝนที่ตกลงมาคล้ายเอาน้ำในถังสาดลงมา เมื่อเกิดการปะทะของน้ำฝนกับเรือนยอด ต้นไม้จะรับน้ำหนักของน้ำและกดลงไปในดินในน้ำหนักที่เท่ากัน ส่วนในพื้นที่ที่ไม่มีดินถล่ม มีเรือนยอดของต้นไม้หลายชั้นทำให้แรงปะทะของฝนที่ตกลงมาปะทะกับชั้นของเรือนยอดที่ลดหลั่นตามลำดับ ทำให้ความแรงลดลงและน้ำหนักที่หล่นลงมาน้อยขึ้นและลงแรงกระแทกน้อยลง และในแปลงที่มีไม้ก่อชนิดเดียว ทำให้พืชมีระบบรากเหมือนกัน แต่แปลงที่มีไม้อื่น ๆ ขึ้นสลับอยู่มีระบบรากที่ลึกกว่า ทำให้รากต้นไม้แทรกลงไปในดิน และยึดกับโครงสร้างดินได้แข็งแรงกว่า หน้าดินที่มีน้ำหนัก 1,200 กิโลกรัม จึงไม่มีเกิดเหตุดินถล่มลงมา

“จากโครงสร้างของป่า จึงมีการตั้งคำถามว่า เพราะอะไร เหตุใด จึงมีดินโคลนถล่ม ? ยอดไม้จึงเท่ากันหมด ถึงได้มีการย้อนดูว่าพื้นที่ที่เกิดดินโคลนถล่มนั้นเมื่อก่อนเคยเป็นอะไรจากการสอบถาม พบว่า ได้มีการสัมปทานป่าเมื่อปี 2532 ที่มีร่องรอยถนนในการลากไม้หลงเหลืออยู่ทำให้ต้นไม้ที่เหลืออยู่มากถึง 51% เป็นไม้ก่อ ซึ่งไม่ใช่ไม้เศรษฐกิจ ทำให้ความสามารถของการยึดหน้าดินเสื่อมสภาพ นี้คือคำตอบจากสภาพจากการศึกษาที่ผ่านมา และสาเหตุที่ฝนตกหนักมานั้นมาจากสภาวะโลกร้อนโลกรวน ที่โลกร้อนมากอุณหภูมิจึงสูงขึ้น 7-10% ที่สะสมอยู่ในอากาศกลายเป็นไอน้ำและถูกพักไว้ในบางจุด ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดดินโคลนถล่มนั้นเกิดจากฝนที่ตกหนักผิดปกติผ่านเงื่อนไขของโลกร้อน และในพื้นที่ผมยังไม่เคยเห็นข้าวโพดเห็นแต่ข้าวโพดสาลีที่อยู่ในไร่หมุนเวียนเท่านั้น

จตุพร เทียรมา

อีกกิจกรรม คือ การเดินเท้าจากชุมชนไปยังบริเวณจุดที่เกิดดินถล่ม ด้านในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของชุมชน โดยมี อ.จตุพร เป็นผู้บรรยายและให้ข้อมูลระหว่างการเดินสำรวจเป็นระยะ โดยระยะทางจากชุมชนไปยังบริเวณจุดที่เกิดดินถล่มเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตรโดยประมาณ ระหว่างทางมีร่องรอยความเสียหายที่ยังปรากฏชัดเจนทั้งลำห้วยที่มีดินสีแดงปนเปื้อน ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ล้มขวางทาง บางต้นไถลลงมาไกลถึงบริเวณชุมชน สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของน้ำหลากและดินถล่มอย่างชัดเจน

เมื่อถึงบริเวณที่เกิดดินถล่ม พบว่า อยู่ในพื้นที่ป่าธรรมชาติที่ชุมชนอนุรักษ์ไว้ตามธรรมชาติเดิม ไม่ได้มีร่องรอยการใช้ประโยชน์เป็นที่ทำกินหรือเพาะปลูกใด ๆ สิ่งที่สังเกตได้ชัดคือ หน้าดินที่พังทลายลงมาจากพื้นที่สูงและลาดชันเกือบ 90 องศา และซากของต้นไม้ที่ล้มตามมวลของดินและน้ำที่ไหลหลากลงมา ซึ่งบริเวณที่เกิดดินถล่มในลักษณะนี้มีมากกว่าหนึ่งจุด เมื่อฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องทำให้มวลน้ำขนาดใหญ่ชะหน้าดินพังทลายและต้นไม้ลงมา และพัดพามาไกลเกือบ 4 กิโลเมตรจนถึงตัวชุมชน

ข้อมูลวิจัย สะท้อน ความผิดพลาดนโยบายการอนุรักษ์ของภาครัฐ
ควรเดินหน้ากลไกสร้างส่วนร่วมจัดการทรัพยากร

พชร คำชำนาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ บอกว่า ชุมชนบ้านห้วยหินลาดใน ถูกประกาศทับด้วยเขตป่าสงวนแห่งชาติ และในช่วงเวลาหนึ่งเคยผ่านการสัมปทานป่าไม้ทั้งจากรัฐและบริษัทเอกชน ก่อนจะปิดการสัมปทานไปเมื่อ ปี 2532

“ในระหว่างนั้นคนเฒ่าคนแก่จะเล่าให้ฟัง ว่า ในป่าจะมีช้างลากซุง ชาวบ้านไม่กล้าเข้าป่าเลยเพราะกลัวอันตรายจากช้าง แต่สิ่งนี้สะท้อนถึงความผิดพลาดจากนโยบายรัฐส่วนกลาง ที่สุดท้ายยังมองทรัพยากรเป็นเรื่องเม็ดเงิน มากกว่ามองว่าชุมชนสามารถจัดการให้ยั่งยืนได้อย่างไร

พชร คำชำนาญ

และแม้ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 30 ปีที่มีการสัมปทานป่าไม้ แต่ผลกระทบได้มาเกิดในปัจจุบัน ในอีกรุ่นอายุคน ซึ่งคิดว่าหากให้ชาวบ้านสามารถดูแลจัดการป่าได้เอง ตามแนวทางมติ ครม. 3 ส.ค. 2553 และตามองค์ความรู้ ภูมิปัญญาดั้งเดิม เหตุการณ์แบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น แม้เผชิญสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง

พชร เชื่อว่า เวทีที่จัดขึ้นนี้เพื่อสื่อสารว่า ชาวบ้านไม่ได้เป็นผู้ตัดไม้ทำลายป่า เพราะช่วงเวลาหนึ่งรัฐต่างหากที่ออกกฎหมายมาเพื่อสัมปทานป่า และสื่อสารยืนยันว่า หากชาวบ้านสามารถจัดการพื้นที่ในรูปแบบพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ได้ แม้เผชิญความท้าทายจากภัยธรรมชาติ เขาก็สามารถฟื้นฟูตนเองได้อย่างรวดเร็ว

“ดังนั้นบ้านห้วยหินลาดในเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ว่าทำไมเราต้องผลักดันกฎหมายคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะในหมวดว่าด้วย พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตดลุ่มชาติพันธุ์ ที่ไม่ควรนำหลักเกณฑ์กฎหมายป่าไม้มาใช้ เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์มาแล้ว ว่ากฎหมายจากส่วนกลางสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชุมชน อย่างน้อยก็สะท้อนผ่านเหตุการณ์ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ซึ่งมีหนึ่งปัจจัยสาเหตุมาจากการสัมปทานป่าไม้ในอดีต”

พชร คำชำนาญ

องค์ความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้านจัดการชุมชน ช่วยให้อยู่รอด – รับมือภัยพิบัติในอนาคต

ขณะที่ นิราพร จะพอ เยาวชนห้วยหินลาดใน ซึ่งเป็นผู้อยู่ในชุมชนระหว่างเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ ได้เล่าถึงสถานการณ์ในช่วงเกิดภัยพิบัติว่า ก่อนหน้าการเกิดดินถล่ม ได้มีฝนตกหนักติดต่อกันต่อเนื่องเป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ โดยวันเกิดเหตุช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. เกิดฝนตกหนักอย่างรุนแรง โดยลักษณะของเม็ดฝนมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ดินถล่มในช่วงเช้า โดยชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนได้ยินเสียงดังจากดินโคลนถล่ม จึงย้ายขึ้นไปอยู่บริเวณถนนด้านบนของชุมชน

หลังเหตุการณ์สงบชาวบ้านได้ช่วยกันตรวจสอบบริเวณพื้นที่ของชุมชน เช่น โรงเรียน ลำห้วย รวมทั้งบริเวณรอบ ๆ พร้อมทั้งจัดเวรยามเฝ้าระวังเหตุการณ์ที่เกรงว่าจะเกิดขึ้นซ้ำ และเตือนให้สมาชิกของชุมชนอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย เพราะพื้นที่ของชุมชนเป็นพื้นที่สูงและเสี่ยงที่จะเกิดดินโคลนถล่ม และในเวลาต่อมาน้ำเริ่มไหลลงมาอย่างรุนแรงและพาทุกสิ่งทุกอย่างไปพร้อมกับน้ำที่ไหลลงมา

“จากการสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับชุมชน โดยหลังจากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากและดินโคลนลถ่ม ฝนยังตกต่อเนื่องทั้งอาทิตย์ ทั้งวันทั้งคืน ไม่สามารถใช้รถใช้ถนนได้ มีดินโคลนถล่มหลายจุด ชุมชนได้มีการจัดตั้งกองอำนวยการบริเวณปากทางหมู่บ้านโดยเป็นความร่วมมือของกลุ่มเยาวชนบ้านห้วยหินลาดใน บ้านผาเยือง มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ โดยการประสานงานในพื้นที่และจุดอำนวยการทำการสื่อสารผ่านการใช้วิทยุสื่อสารคอยประสานงาน รายงานสถานการณ์ และติดตามความช่วยเหลือ”

นิราพร จะพอ

ชัยธวัช จอมติ ทีมวิจัยบ้านห้วยหินลาดใน เป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ด้านนอกชุมชนในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ และไม่สามารถกลับเข้าไปในชุมชนได้ ทางชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกชุมชนและมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ จึงตั้งจุดอำนวยการขึ้นบริเวณปากทางเข้าชุมชน เพื่อเป็นจุดประสานงานกับกลุ่มผู้ที่ต้องการเข้ามาช่วยเหลือ โดยได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์เครืองมือต่าง ๆ จากเครือข้ายภาคี เช่น เต้นท์ โต๊ะ เป็นต้น พร้อมทั้งสื่อสารผ่านทุกช่องทางเพื่อขอความช่วยเหลือและรายงานสถานการณ์โดยมีการรายงานภายในชุมชนวินาทีต่อวินาทีเพื่อประเมินสถานการณ์และความปลอดภัยของชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนเป็นส่วนใหญ่

“มีเหตุการณ์การสื่อสารจากบุคคลภายนอกที่สร้างความเข้าใจผิดต่อชุมชนว่า เป็นพื้นที่ภูเขาหัวโล้น ทำให้ชุมชนเสียกำลังใจ และเสียความรู้สึก เพราะชุมชนได้รับการยอมรับว่าเป็นชุมชนต้นแบบในการดูแลจัดการทรัพยากร ชุมชนได้พิสูจน์ศักยภาพของตนเองในการรับมือ ประเมินสถานการณ์ สร้างประสบการณ์ไปพร้อมกับการสร้างชุดองค์ความรู้ใหม่ การพัฒนาข้อมูลเชิงลึก ข้อมูลเชิงวิชาการ รวมถึงบทเรียนของชุมชนในการรับมือภัยพิบัติ เพื่อบูรณาการเข้าสู่หลักสูตรการเรียนรู้ หากไม่เช่นนั้นเด็กคนรุ่นใหม่จะไม่สามารถรับรู้ถึงประวัติศาสตร์การต่อสู้ การรับมือภัยพิบัติ องค์ความรู้ของชุมชน เพื่อให้อยู่กับคนในรุ่นต่อไป”

ชัยธวัช จอมติ

ในมุมมองของ ยิ่งลักษณ์ กาญจนฤกษ์ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ย้ำว่า การเป็นนักวิชาการนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องทุกประเด็น การอาศัยการเรียนรู้จากชุมชนในพื้นที่ เรียนรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานวิชาการมีคุณค่า มีความหมายมากขึ้น

ประเด็นเรื่อง ไร่หมุนเวียน ในทางวิชาการนับว่าเป็นที่ยอมรับทั่วโลก เพราะเป็นระบบเกษตรที่แสดงถึงความยั่งยืนในหลาย ๆ ประเทศที่ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย ซึ่งชุมชนบ้านห้วยหินลาดในเป็นหนึ่งในชุมชนที่ได้รับการยอมรับเรื่องการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนจากรางวัลที่ได้รับในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้น พิสูจน์ได้ว่าความยั่งยืนในประเด็นสิ่งแวดล้อมของชุมชนนั้นมาจากการทำไร่หมุนเวียน การที่สังคมมองว่าเพราะทำลายป่าจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ดินถล่ม ดังนั้น งานวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์ครั้งนี้จะเห็นได้ค่อนข้างชัดว่าการที่ดินถล่มนั้นเกิดขึ้นจากปัจจัยใด และทรัพยากรป่าไม้นั้นมีความเชื่อมโยงและมีความซับซ้อนที่ไม่สามารถบอกได้ว่า การศึกษาเรื่องดินถล่มจะต้องทำการศึกษาเรื่องดินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำการศึกษาเรื่องของอากาศ อุณหภูมิ น้ำ การเปลี่ยนแปลง พืชพรรณ ความหลากหลายทางชีวภาพ และรวมถึงการใช้ประโยชน์ของชุมชนในพื้นที่

“บ้านห้วยหินลาดในเป็นชุมชนที่มีการใช้องค์ความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้านในการจัดการชุมชน หากมองถึงเรื่องความยั่งยืนของชุมชนจะเห็นได้ว่าชุมชนห้วยหินลาดในนั้นมีความยั่งยืนอย่างเห็นได้ชัด คือ เมื่อเกิดเหตุหรือก่อนเกิดเหตุไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ชุมชนเป็นสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน รวมถึงการไม่ทิ้งชุมชนรอบข้าง ชุมชนมองปัญหาที่ล้มแล้วต้องลุกทำให้ดีกว่าเดิม มองวิกฤตให้เป็นโอกาสที่จะต้องพัฒนาต่อไป ที่จะทำให้ชุมชนบ้านห้วยหินลาดในเป็นต้นแบบแก่ชุมชนอื่น ๆ อีกทั้งพี่น้องปกาเกอะญอนั้นจะมีเครือข่ายที่เข้มแข็งอย่างมาก องค์ความรู้ของชุมชนที่ทำและนำไปสู่ชุมชนอื่น ๆ ที่ทำให้ชุมชนสามารถยืนหยัดและฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนสามารถยืนหยัดฟื้นฟูในจุดที่ดีกว่าเดิม และนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าจับตามองต่อไปของชุมชนบ้านห้วยหินลาดใน”

ยิ่งลักษณ์ กาญจนฤกษ์

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active