นักวิชาการด้านภัยพิบัติ เสนอกระจายอำนาจระบบเตือนภัยให้จังหวัดแจ้งเตือนด้วยตัวเอง ประสานความร่วมมือด้านข้อมูลในทุกหน่วยงานด้านน้ำ พร้อมใช้ AI ช่วยประมวลผลวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อประกอบการตัดสินใจและวางแผนรับมือ ทั้งท้องถิ่นและส่วนกลาง
ภายหลังหลังเกิดเหตุน้ำท่วม ภาคเหนือและภาคอีสาน ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา เกิดคำถามจากภาคประะชาชนต่อระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast ในช่วงที่เกิดน้ำป่าหลากในพื้นที่ภาคเหนือชาวบ้านหลายคนให้ข้อมูลตรงกันว่า การแจ้งเตือน “ล่าช้ากว่าสถานการณ์จริง”
ก่อนหน้านี้ทีมข่าวไทยพีบีเอสได้ตรวจสอบไปยังอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งได้ชี้แจงว่า ปภ. ได้ส่ง SMS แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำ ป่าไหลหลากไปยังพื้นที่เสี่ยงตั้งแต่เวลา 05.00 น. แต่การส่งข้อความผ่านระบบ Cell Broadcast ซึ่งเป็นข้อความฉุกเฉินที่สามารถส่งถึงมือถือทุกเครื่องในพื้นที่นั้น จะต้องอาศัย “การร้องขอจากท้องถิ่น” เป็นผู้ประเมินสถานการณ์ เบื้องต้นและส่งสัญญาณขอให้ส่วนกลาง ดำเนินการส่งข้อความออกไป เมื่อได้รับคำร้องจากพื้นที่ ระบบสามารถส่งข้อความ ได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 วินาทีเมื่อถูกถามถึงสาเหตุที่หลายพื้นที่ไม่ได้มีการร้องขอให้ส่งข้อความแจ้งเตือน

ด้าน ภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระบุว่า อาจเป็นเพราะหน่วยงาน ท้องถิ่น ยังขาดความเข้าใจในการวิเคราะห์สถานการณ์น้ำอย่างทันท่วงที ในการประเมินความเสี่ยง ลักษณะภูมิประเทศ และเส้นทางการไหลของน้ำ เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถตัดสินใจแจ้งเตือนภัยได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

ช่องว่างอยู่ตรงไหน
ศิรินันต์ สุวรรณโมลี นักวิชาการด้านภัยพิบัติ เปิดเผยกับ The Active ว่า ระบบ Cell Broadcast อำนาจการตัดสินใจกดส่งข้อความอยู่ที่ส่วนกลาง หรือ กรุงเทพฯจะเป็นคนกดอยู่ดี ไม่สามารถวิเคราะห์ปัญหาจากท้องถิ่น แม้ว่าจะส่งเสริมให้ส่วนงานท้องถิ่นมีความสามารถในการตัดสินใจด้วยตัวเองนี่คือข้อจำกัดหรือความท้าทายที่เราควรจะกระจายอำนาจในการตัดสินใจให้ท้องถิ่น
อย่างแรก ทั้งในมิติของโครงสร้างพื้นฐาน อย่างเช่นการส่งข้อความ ระบบ Cell Broadcast ควรมีการอำนวยความสะดวกทุกด้าน อย่างที่สองเน้นการส่งเสริมขีดความสามารถจริง ๆ ในท้องถิ่นให้มีผู้รับผิดชอบหลัก หรือตัวองค์กรหลักรับช่วงต่อ ความจริงแล้วท้องถิ่น หรือแต่ละจังหวัดจะมีสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด มีชลประทาน หน่วยงานรัฐที่มีองค์ความรู้อยู่กับชุมชนในท้องถิ่นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพอมันถูกรวมอำนาจที่ส่วนงานเดียว จึงส่งผลต่อการตัดสินใจ
ท้องถิ่นยังขาดความเข้าใจในการวิเคราะห์สถานการณ์น้ำอย่างทันท่วงทีจริงหรือไม่ ?
ประเด็นนี้ต้องมองหลายมิติ ท้องถิ่นเองมีข้อมูลพื้นที่ที่รู้จุดอ่อนไหว ในขณะที่ภาพรวมใหญ่จากการวิเคราะห์น้ำจากพื้นที่ใกล้เคียงพื้นที่ลุ่มน้ำ แม่น้ำ หน่วยงานกลางจะรู้ข้อมูลเป็นส่วนใหญ่ เราต้องหาทางจะทำอย่างไรให้เกิดการเข้าใจร่วมกันการประสานงานวิเคราะห์ต่อจากทั้งคนในพื้นที่วิเคราะห์ข้อมูลด้านน้ำไปพร้อมกันด้วย ที่ผ่านมาส่วนกลางเห็นข้อมูลภาพใหญ่และเข้าถึงได้เพียงฝ่ายเดียวและส่งต่อแบบกว้าง ๆ ขณะที่ท้องถิ่นเข้าถึงข้อมูลบางส่วนไม่ได้ ก็ยังเป็นคอขวด
“ดังนั้นต้องสนับสนุนการวางกรอบชุดข้อมูลท้องถิ่นร่วมกันเพื่อการเตือนภัยแม่นยำขึ้นอาจต้องหาทางออกและปลดล็อก สนับสนุน เชื่อมโยง กลไกข้อมูล เตือนภัยให้แม่นยำจากการทำงานบนฐานข้อมูลเดียวกัน”
นอกจากนี้ ควรกำหนดกรอบของข้อมูล ถ้าบอกว่าท้องถิ่นไม่มีข้อมูลมากพอ ส่วนกลางก็ต้องสนับสนุน ในข้อมูลที่เขาควรมีเข้าถึงได้ และต้องหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถทำให้เขามีอำนาจในการตัดสินใจไปด้วยพร้อมด้วย
เสนอให้แต่ละจังหวัดมีสิทธิ์ส่งข้อความเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast
แต่ละจังหวัดควรมีคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจเอาไว้ที่ส่วนจังหวัดเลยเพื่อส่งข้อความเตือนภัย หรือระหว่างนี้หากเรารู้แล้วมีเวลาอีกประมาณ ช่วงเดือน 1 ก่อนจะถึงสิงหาคมในช่วงฝนตกชุดก็สร้างกรอบหรือว่าทำให้ประชาชนมีความรู้สึกมั่นใจในการทำข้อความล่วงหน้าเอาไว้ สำหรับการเตือนภัยในแต่ละกรณีจะได้เป็น มาตรฐาน (Standard)เดียวกันในการสื่อสาร อันนี้ก็คือข้อเสนอแนะและวิธีแก้ ก็คือ ให้จังหวัดแต่ละจังหวัดมีสิทธิ์ในการที่จะส่งข้อมูลหรือส่งข้อความผ่านระบบ Cell Broadcast เพื่อการเตือนภัย เพราะ เพราะขณะนี้ก็มีคำถาม ทำไมส่งได้ล่าช้า ก็เพราะว่าต้องรอยืนยันจากส่วนกลางในกรุงเทพฯ มายืนยัน ขณะที่จังหวัดไม่มีอำนาจโดยตรงในการส่งข้อความด้วยตัวเอง
ดังนั้นจึงมีข้อเสนอคือหนึ่งกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น สองโครงสร้างทางเทคนิคทำให้แต่ละจังหวัดมีข้อความที่พร้อมใช้ ในเคสต่าง ๆ และ สุดท้ายใช้เทคโนโลยีเอไอ ประมวลผลแบบคร่าว ๆ สำหรับประกอบการตัดสินใจ เพื่อประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อให้ประชาชนมีฉากทัศน์รับมือทัน ที่ทำสอดคล้อง ท้องถิ่นส่วนกลาง แต่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
สถานการณ์น้ำท่วมหลากจังหวัดเชียงราย
ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิ.ย.68 เวลา 06.00 น. มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำป่าไหลหลาก รวม 5 อำเภอ 10 ตำบล 32 หมู่บ้าน ได้แก่ อ.พญาเม็งราย (ต.ตาดควัน ต.แม่เปา ต.แม่ต๋ำ) อ.เวียงชัย (ต.ผางาม ต.ดอนศิลา) อ.เชียงแสน (ต.บ้านแซว)อ.เวียงเชียงรุ้ง (ต.ทุ่งก่อ ต.ป่าซาง ต.ดงมหาวัน) อ.เทิง (ต.เวียง)
ในเบื้องต้น มึบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 4,405 ครัวเรือน โรงเรียน 1 แห่ง สถานบริการสาธารณสุข 2 แห่ง คอสะพานชำรุด 3 จุด ถนน 3 จุด และพื้นที่เกษตร (นาข้าว)ได้รับผลกระทบประมาณ 500 ไร่ มีการอพยพผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยติดบ้าน 21 คน (พักอยู่ที่โรงพยาบาลพญาเม็งราย 4 คน พักอยู่กับญาติ/สถานที่ปลอดภัย 17 คน) ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 2 แห่ง ได้แก่ วัดสบเปา และโรงเรียนผู้สูงอายุ ตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย(ไม่มีผู้ประสบภัยประสงค์เข้าพัก) ขณะนี้ อยู่การสำรวจความเสียหายเพิ่มเติม