เตือน! 13-15 ก.ย.นี้ เขื่อนระบายน้ำเพิ่ม พื้นที่ลุ่มริมเจ้าพระยา ระวังน้ำท่วม

ชัยนาท-อยุธยา-อ่างทอง มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงขึ้นอีก! หลังเขื่อนเจ้าพระยาเตรียมเพิ่มการระบายน้ำ จาก 1,900 ลบ.ม./วินาที เป็น 1,950 ลบ.ม./วินาที และอาจเพิ่มสูงถึง 2,000 ลบ.ม./วินาที ขณะเดียวกันหลายพื้นที่ลุ่มริมน้ำ กำลังเผชิญผลกระทบ

วันนี้ (12 ก.ย. 68) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 13-15 กันยายนนี้ บริเวณท้ายเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ไล่ลงมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนล่าง จะมีฝนเพิ่มมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มใน จ.ชัยนาท ซึ่งขณะนี้พื้นที่ลุ่มต่ำ น้ำก็ยังเพิ่มสูงขึ้น จึงขอให้ประชาชนเฝ้าระวังดูแลข้าวของในพื้นที่ลุ่มต่ำ จ.ชัยนาท,พระนครศรีอยุธยา, อ่างทอง ชาวบ้านและหน่วยงานท้องถิ่นต้องเร่งเสริมแนวป้องกันน้ำ

เขื่อนเจ้าพระยา จำเป็นต้องระบายน้ำเพิ่ม

ขณะที่ เขื่อนเจ้าพระยา แจ้งปรับการระบายน้ำจาก 1,900 เป็น 1,950 ลบ.ม./วินาที และอาจเพิ่มถึง 2,000 ลบ.ม./วินาที หลังน้ำเหนือไหลเข้า ระดับน้ำเหนือเขื่อนเพิ่มขึ้น 40 ซม. ภายใน 24 ชั่วโมง โดย จ.ชัยนาท ประกาศเตือนพื้นที่เหนือเขื่อน 3 อำเภอ คือ อ.เมืองชัยนาท, วัดสิงห์ และมโนรมย์ ให้เฝ้าระวังน้ำท่วม

ไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการ สทนช. ประธานการประชุมศูนย์อำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง ครั้งที่ 3/2568 ย้ำว่า อิทธิพลของพายุทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนัก ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำเพื่อให้มีพื้นที่ว่างของเขื่อนรองรับน้ำหลากในช่วงเดือน ก.ย. – ต.ค. 68 และรักษาความปลอดภัยเขื่อน

เขื่อนภูมิพล – เขื่อนสิริกิติ์ น้ำมาก

โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ ที่ปัจจุบันยังคงมีปริมาณน้ำ ร้อยละ 87 ของความจุเก็บกัก และเขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำร้อยละ 76 ของความจุเก็บกัก แต่ด้วยปัจจุบันสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 บริเวณ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ เพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณ 2,100 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที ประกอบกับมีปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังไหลมาสมทบเพิ่มเติม สทนช. จึงได้ประสานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกรมชลประทาน พิจารณาปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์

ทั้งนี้ในช่วงวันที่ 11-14 ก.ย. 68 จะปรับลดการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล จาก 15 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เหลือ 10 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และปรับลดการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ จาก 30 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เหลือ 20 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เพื่อชะลอปริมาณน้ำที่จะไหลลงมาสมทบกับสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยการระบายน้ำในอัตราดังกล่าวจะไม่กระทบต่อพื้นที่ว่างสำหรับรองรับน้ำหลากในช่วงระยะต่อจากนี้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ยกตัวสูงขึ้นอยู่ในระดับ 17.1 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) คาดการณ์ว่าใน ช่วงวันที่ 13-15 ก.ย. 68 อาจมีฝนตกเพิ่มขึ้นบริเวณท้ายเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งจะทำให้มีมวลน้ำไหลลงมายังเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มเติม

ชาวบ้านพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา เริ่มได้รับผลกระทบน้ำท่วม

สำหรับการเพิ่มการระบายน้ำ จะส่งผลกระทบในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา บริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล ต.หัวเวียง อ.เสนา และแม่น้ำน้อยบริเวณ ต.ลาดชิด และท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา รวมถึงพื้นที่ริมน้ำบางแห่งของ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง ทางท้องถิ่นร่วมกับจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หลังปรับเพิ่มอัตราการระบายดังกล่าว โดยเน้นย้ำให้สร้างความเข้าใจและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

ที่ ต.ธรรมามูล อ.เมืองชัยนาท น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นท่วมบ้านดักคะนน และบ้านท่าหาด เทศบาลเสริมคันกั้นน้ำและมอบเรือให้ชาวบ้าน คาดว่า ภายใน 3 วัน จะมีน้ำเหนือจาก จ.พิษณุโลก ไหลสมทบ อาจทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นอีก หากเกินจุดวิกฤติ ประชาชนต้องอพยพขึ้นที่สูงริมถนนที่เทศบาลจัดไว้

วรรณา ทองศรีจัด ผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ต.ตะกู อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ในพื้น ม.7 ต.ตะกู อ.บางบวล จ.พระนครศรีอยุธยา ขณะนี้ที่เขื่อนเจ้าพระยา เปิดประตูระบายน้ำเพิ่มทำให้พื้นที่ใต้เขื่อนมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ท่วมบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ริมน้ำ ต้องเร่งขนย้ายหนีน้ำไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงที่ทางผู้นำชุมชนได้จัดไว้ให้

ประสิทธิ์ ไชยเวช ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 ปทุมธานี มอบหมายให้ ส่วนสนับสนุนทรัพยากรกู้ภัย ส่งเจ้าหน้าที่ ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำแบบเคลื่อนที่ระบบไฮดรอลิค อัตราการไหล 1,500 ลิตรต่อวินาที จำนวน 1 เครื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมลดผลกระทบในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ ดังกล่าว โดยสูบน้ำบริเวณประตูระบายน้ำหมู่ที่ 16 เร่งระบายน้ำในคลองสามออกสู่คลองระพีพัฒน์

อนุมัติขยายวงเงินทดรองฯ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

ขณะที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า ปัจจุบันกรมบัญชีกลางได้อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการฯ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพิ่มเติม 30 ล้านบาทแล้ว หลังเกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งเกิดจากเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำ ทำให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อ.เสนา อ.ผักไห่ อ.บางบาล อ.บางไทร อ.พระนครศรีอยุธยา และ อ.บางปะอิน ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ

ทำให้มีประชาชนรวม 6 อำเภอ 83 ตำบล 478 หมู่บ้าน 10 ชุมชน ประชาชน 17,223 ครัวเรือน 63,725 คน ได้รับผลกระทบ ปัจจุบันระดับน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยเดิมวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีอยู่ 20 ล้านบาท ไม่เพียงพอในการช่วยเหลือประชาชน ขอขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดไปยังกรมบัญชีกลาง และได้อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีอุทกภัย ด้านการดำรงชีพ ด้านการเกษตร ด้านบรรเทาสาธารณภัย และด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เพิ่มเติม จำนวน 30 ล้านบาท เพื่อให้จังหวัดสามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยความรวดเร็ว เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานมากยิ่งขึ้น

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active