‘รมว.สาธารณสุข’ ออก 6 ข้อสั่งการ พร้อมวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการให้บริการใน 72 ชั่วโมงข้างหน้า ‘กรมควบคุมโรค’ ย้ำ ระวังอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว–ไฟฟ้าช็อต พร้อมคำแนะนำ
วันนี้ (24 พ.ย. 2568) ที่ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี พัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลติดตามสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ศักดา อัลภาชน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาล โดยมีหน่วยงานในพื้นที่ประสบภัย ร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์
นายพัฒนา กล่าวว่า พื้นที่ภาคใต้สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง จากการลงพื้นที่พร้อมนายกรัฐมนตรี เมื่อวานนี้ พบว่าหลายพื้นที่มีน้ำท่วมขัง และยังคงมีฝนตกเพิ่มเติม ประกอบกับสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มรองรับน้ำจากแนวภูเขาโดยรอบ และมีทางระบายน้ำไม่มากนัก ทำให้มีความเสี่ยงสถานการณ์รุนแรงขึ้น
สำหรับข้อสั่งการเร่งด่วน 6 ข้อ ของ รมว.สาธารณสุข คือ 1) ให้ PHEOC ทุกจังหวัดติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที 2) ให้ทุกจังหวัดเร่งรัดการเยี่ยมบ้านและคัดกรองกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้พิการ ผู้ฟอกไต และผู้สูงอายุ 3) แจกจ่ายยาชุดช่วยเหลือน้ำท่วม ยารักษาโรคเรื้อรัง และอุปกรณ์ป้องกันโรคติดต่อให้ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างทั่วถึง 4) ให้โรงพยาบาล และ รพ.สต. ที่ได้รับผลกระทบตั้งจุดบริการชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อให้บริการต่อเนื่อง และทบทวนระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินสำรอง 5) ให้เฝ้าระวังโรคที่มากับน้ำ อาหาร น้ำดื่ม สุขาภิบาลในพื้นที่พักพิง และเข้มงวดการควบคุมป้องกันโรคอุจจาระร่วง น้ำกัดเท้า โรคทางเดินหายใจ และโรคจากสัตว์มีพิษ และ 6) ให้สำรวจความเสียหายต่อบุคลากร สถานบริการ และอุปกรณ์ พร้อมวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการให้บริการในระยะ 72 ชั่วโมงข้างหน้า
นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ดูเรื่องแบบก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยงภัย หรือประสบอุทกภัยบ่อย ๆ หรือพื้นที่รับน้ำ ซึ่งจะต้องมีการออกแบบในรูปแบบพิเศษ รวมถึงมีระบบท่อประปา ท่อน้ำ ท่อน้ำทิ้งมากขึ้น เพื่อป้องกันและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดสถานการณ์อุทกภัย และให้แต่ละเขตสุขภาพพิจารณาเรื่องรถเคลื่อนที่ที่จะช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือช่วยขนย้ายผู้ป่วย กลุ่มเปราะบางพื้นที่ได้ภายใน 12 ชั่วโมงแรก เพื่อส่งเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด
ด้าน นายแพทย์สมฤกษ์ กล่าวว่า สำหรับจังหวัดสงขลา ขณะนี้น้ำเริ่มสูงขึ้นในทุกอำเภอ โดยเฉพาะหาดใหญ่ ที่ได้รับผลกระทบมาก ได้มีการตั้งศูนย์พักพิงโดยมีค่ายเสนาณรงค์เป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ การดูแลผู้ป่วยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชน และมูลนิธิ ใช้เรือเร็วเข้ารับผู้ป่วย กลุ่มเปราะบางที่ติดค้างในบ้าน มาส่งยังรถทหาร เพื่อนำส่งศูนย์พักพิง ที่ศูนย์กีฬามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งรองรับได้ 1,000 คน และได้เตรียมมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา มหาวิทยาลัยทักษิณ กองทัพเรือ และค่ายเสนาณรงค์ ไว้รองรับผู้ป่วยและประชาชน พร้อมทั้งจัดบริการทางการแพทย์ในศูนย์พักพิงทุกแห่ง
โดยหน่วยงานสาธารณสุขได้ทำงานร่วมกับฝ่ายทหารอย่างใกล้ชิด มีโรงพยาบาลสงขลา และโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เป็นพี่เลี้ยงในการรับส่งต่อ ส่วนยาและเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลในพื้นที่ขณะนี้ยังมีเพียงพอ รวมทั้งส่วนกลางยังได้สนับสนุนยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้กับพื้นที่สงขลา 8,000 ชุด นครศรีธรรมราช 500 ชุด ปัตตานี 1,000 ชุด ตรัง 1,000 ชุด สตูล 1,000 ชุด รวม 11,500 ชุด
ทั้งนี้ ภาพรวมมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 8 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ตรัง สตูล ปัตตานี และยะลา หน่วยบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบรวม 50 แห่ง เป็น โรงพยาบาล 11 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 34 แห่ง และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ (สสอ.) 5 แห่ง ในจำนวนนี้ต้องปิดบริการ 17 แห่ง ปิดบางส่วน 7 แห่ง และเปิดให้บริการตามปกติ 26 แห่ง มีผู้เสียชีวิต 19 ราย สาเหตุส่วนใหญ่จากการจมน้ำ 13 ราย ไฟฟ้าดูด 4 ราย และดินถล่ม 2 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 ราย และสูญหายอีก 1 ราย ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่ายังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมากต่อเนื่อง จึงยังต้องเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง

กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม ระวังอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว–ไฟฟ้าช็อต พร้อมแนะวิธีป้องกัน
ด้าน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยให้ระมัดระวังอันตรายด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในช่วงน้ำท่วม ทั้งการจมน้ำ รวมถึงอันตรายจากไฟฟ้ารั่วหรือไฟฟ้าช็อต ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้อย่างฉับพลัน พร้อมแนะมาตรการป้องกันเพื่อความปลอดภัยของประชาชน
นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่าหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในบริเวณบ้านของผู้บาดเจ็บ จึงขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยมีแนวทางป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าในช่วงน้ำท่วม ดังนี้
- ตัดกระแสไฟฟ้าและงดใช้อุปกรณ์ทุกชนิดกรณีน้ำท่วมภายในบ้าน เพราะอาจเกิดกระแสไฟฟ้ารั่วได้
- หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำเข้าใกล้ปลั๊กไฟ สายไฟ อุปกรณ์ที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า หรือเสาไฟฟ้า เนื่องจากเมื่อเกิดไฟฟ้ารั่วจะมีกระแสไฟฟ้ากระจายเป็นวงกว้างไม่ต่ำกว่า 3 เมตรขึ้นไป
- ห้ามแตะสวิตช์ไฟ ปลั๊กไฟ สายไฟ หลอดไฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบปลั๊กอยู่ ในขณะที่ร่างกายเปียกชื้น หรือกำลังยืนอยู่บนพื้นเปียกหรือพื้นที่มีน้ำขัง
- หากพื้นที่อยู่อาศัยมีน้ำท่วมขัง ควรอพยพไปอยู่ที่ศูนย์อพยพตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
นายแพทย์มณเฑียร กล่าวเพิ่มเติมว่า การป้องกันล่วงหน้าก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยขอแนะนำให้ประชาชนย้ายปลั๊กไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้าขึ้นที่สูงให้อยู่เหนือบริเวณที่มีโอกาสน้ำท่วมถึง ตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอยู่เป็นประจำ หากพบว่าชำรุดควรส่งซ่อมหรือเลิกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้านั้น และห้ามใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่โดนน้ำท่วมแล้ว หรือหากจะนำกลับมาใช้ต้องตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้งาน
ทั้งนี้ หากพบผู้ถูกไฟฟ้าดูด ให้ตัดกระแสไฟในที่เกิดเหตุทันที ห้ามสัมผัสตัวผู้ถูกไฟดูดด้วยมือเปล่าเด็ดขาด ควรใช้วัสดุที่ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า เช่น ถุงมือยาง ผ้าแห้ง พลาสติกแห้ง เขี่ย ผลัก หรือฉุดกระชากอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วให้ตรวจสอบการหายใจและชีพจร หากผู้บาดเจ็บไม่รู้สึกตัวให้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ทันที และโทรแจ้งสายด่วน 1669 เพื่อประสานทีมแพทย์ฉุกเฉิน หรือหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
