เตือนไม่ควรให้กู้ภัยเคลื่อนย้ายศพลำพัง ต้องมีตำรวจและแพทย์นิติเวชไปถึงที่เกิดเหตุ ขณะที่ “หมอสุภัทร” ถามหาระบบกลางขึ้นทะเบียนดูแลศพอย่างเป็นขั้นตอน เสียชีวิตที่บ้าน–เสียชีวิตจากระบบสาธารณูปโภคล้มเหลว ต้องถูกรวบรวมข้อมูล หวั่นญาติ ต้องขับรถตามหาศพทีละวัดหากรัฐยังไร้ระบบ ย้ำ ตัวเลขความสูญเสียต้องตรงไปตรงมา
วันนี้ (27 พ.ย. 68) วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ที่ระดับน้ำเริ่มลดลง ความสูญเสียกลับปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ หน่วยกู้ภัยหลายพื้นที่แจ้ง “ขาดแคลนถุงซิปเก็บศพ” หลังพบผู้เสียชีวิตเพิ่มจำนวนมาก บางศพถูกเก็บไว้ในบ้านเพราะเข้าถึงไม่ได้ บางกรณีพบศพถูกเก็บไว้ในตู้เย็นภายในบ้าน หรืออยู่ในสภาพเริ่มเน่าเสีย ทำให้เกิดคำถามถึงระบบการจัดการศพที่เหมาะสมในพื้นที่วิกฤต
แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยกับ The Active ว่าแม้การจัดการศพจะเป็นเรื่องเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับผู้บาดเจ็บหรือผู้สูญหาย แต่ถือเป็นส่วนสำคัญของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ และจำเป็นต้องวางแผนอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้น พร้อมย้ำว่า รัฐบาลยังไม่มี “ภาพใหญ่” ของการรับมือเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างชัดเจน ขณะที่กฎหมายไทยกำหนดให้การตายลักษณะนี้เป็น “การตายผิดธรรมชาติ” ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิสูจน์สาเหตุการตายอย่างเป็นระบบ
“จริง ๆ แล้วตามกฎหมาย ศพในสถานการณ์น้ำท่วม ไม่ใช่หน้าที่ของมูลนิธิ แต่เป็นหน้าที่ตำรวจและแพทย์นิติเวชตามกฎหมาย …ต้องไปถึงจุดพบศพ ห้ามเคลื่อนย้ายโดยลำพัง หากไม่ตรวจสอบ ณ จุดพบศพ ก็ไม่สามารถยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตได้ เช่น จมน้ำ ไฟฟ้าช็อต ขาดอากาศ หรืออาจมีลักษณะที่ต้องสงสัยอื่น ๆ ซึ่งกระทบต่อการพิสูจน์คดีในอนาคต“
จากกรณีที่หน่วยกู้ภัยเข้าพื้นที่และนำศพออกมาก่อน คุณหมอพรทิพย์ระบุว่า เป็นการดำเนินการที่ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และอาจทำให้พยานหลักฐานเสียหาย โดยย้ำว่า “กู้ภัยเป็นผู้ช่วยเหลือ แต่ตำรวจต้องไปพร้อมหมอนิติเวช ไม่ใช่ให้กู้ภัยไปเคลื่อนศพออกมาเอง
ระบบระดับชาติยังไม่พร้อม เห็นช่องว่างตั้งแต่หลังสึนามิจนถึงปัจจุบัน
อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ประเทศไทยแม้มีการเขียนแผนไว้ แต่ไม่เคยมีหน่วยงานที่สามารถบริหารระดับ “ภาพใหญ่” ได้จริง ต่างจากประเทศที่มีหน่วยงานเฉพาะ เช่น FEMA ของสหรัฐฯ “รัฐบาลไม่มีแผนใหญ่ที่ทำได้ครบ สั่งได้แต่หาคนที่เข้าใจภาพรวมจริง ๆ ไม่เจอ”
แม้พื้นที่สงขลาจะมีแพทย์นิติเวชจำนวนมากจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งช่วยคลี่คลายการตรวจสอบศพได้ แต่การสั่งการและระบบรองรับระดับจังหวัดและประเทศยังไม่ชัดเจน
ข้อเสนอเร่งด่วน วิธีจัดการศพในน้ำท่วม “เป็นขั้นเป็นตอน”
คุณหมอพรทิพย์เสนอแนวทางเร่งด่วนต่อท้องถิ่นและรัฐ ได้แก่
- ประกาศให้การพบศพในเหตุการณ์นี้เป็น “การตายผิดธรรมชาติ” ทุกกรณี เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนตามกฎหมาย และป้องกันข้อโต้แย้งภายหลัง
- ผู้บังคับการตำรวจจังหวัดสงขลาต้องออกแนวทางชัดเจนทันที ระบุขั้นตอนตั้งแต่การรับแจ้ง การเดินทางไปจุดพบศพ การบันทึกหลักฐาน และการประสานแพทย์นิติเวช
- จัดทีมแพทย์นิติเวชจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ลงพื้นที่เป็นแกนหลัก เนื่องจากมีบุคลากรเพียงพอ และสามารถพิสูจน์สาเหตุการตายได้ครบถ้วน
- ให้กู้ภัยทำหน้าที่สนับสนุนเท่านั้น ไม่ใช่เคลื่อนย้ายศพหลัก การย้ายศพควรทำหลังตำรวจและแพทย์ตรวจในที่เกิดเหตุเสร็จเรียบร้อย
- จัดสถานที่รับเก็บศพที่ปลอดภัย มีระบบบันทึก และไม่รบกวนหลักฐาน ทั้งนี้ต้องมีการแยกศพตามลักษณะการพบ เพื่อไม่ให้ข้อมูลสับสน
“หมอสุภัทร” จี้รัฐตั้งระบบกลางขึ้นทะเบียนดูแลศพ
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ แกนนำจากเครือข่ายแพทย์ชนบท โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า หลังมหาอุทกภัยภาคใต้ปี 2568 สถานการณ์น้ำในพื้นที่หาดใหญ่และจังหวัดใกล้เคียงเริ่มลดลง แต่หนึ่งในภารกิจสำคัญที่ยัง “ไร้ระบบรองรับ” คือ การจัดการศพผู้เสียชีวิตจากเหตุภัยพิบัติครั้งนี้ ซึ่งคาดว่ามีจำนวนหลายร้อยรายในเขตเมืองหาดใหญ่และพื้นที่รอบนอก ขณะที่โรงพยาบาลในพื้นที่ เช่น โรงพยาบาลหาดใหญ่ ไม่สามารถรองรับได้เพียงพอ
แพทย์ชนบทรายนี้ระบุว่า นอกจากการช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำดื่ม การรักษาพยาบาลฉุกเฉิน การฟื้นฟูระบบสื่อสาร และการจัดการจราจรแล้ว การจัดระบบ “ศูนย์กลางจัดการศพ” คือภารกิจที่รัฐต้องกำหนดแนวทางอย่างชัดเจนโดยเร็ว
นพ.สุภัทรตั้งคำถามต่อภาครัฐว่า หากกู้ภัยหรือประชาชนพบศพ จะต้องนำไปขึ้นทะเบียนที่ใด เก็บรักษาอย่างไร และสถานที่สำหรับชันสูตรหรือพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลจะอยู่ที่ไหน เพราะขณะนี้ตู้แช่ศพในหลายโรงพยาบาลไม่เพียงพอ
เขาระบุว่า ญาติผู้สูญเสียมีความต้องการแตกต่างกัน บางรายต้องการนำศพกลับไปประกอบพิธีทันที ขณะที่บางรายต้องรอพิสูจน์ตัวบุคคล โดยเฉพาะศพไร้ญาติหรือไม่ทราบชื่อ ซึ่งจำเป็นต้องมีการจัดการอย่างรัดกุม หากไม่มีระบบที่ดี อาจยิ่งซ้ำเติมความโศกเศร้าในช่วงวิกฤต
เสียชีวิตที่บ้าน–เสียชีวิตจากระบบสาธารณูปโภคล้มเหลว ต้องถูกรวบรวมข้อมูล
นพ.สุภัทรยังระบุถึงผู้เสียชีวิตที่บ้านจากโรคประจำตัวหรือเจ็บป่วย ซึ่งไม่ได้จมน้ำ แต่ไม่สามารถเดินทางมารักษาได้ในช่วงวิกฤต ว่าจำเป็นต้องมีการจัดทำฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้เป็นบทเรียนแก้ไขปัญหาในอนาคต
เช่นเดียวกับกรณีผู้ป่วยที่เสียชีวิตในโรงพยาบาล หรือระหว่างการส่งต่อ เนื่องจากไฟฟ้าดับ ออกซิเจนหมด หรือระบบสนับสนุนอื่น ๆ ล้มเหลว ซึ่งควรได้รับการบันทึกเพื่อใช้ปรับปรุงมาตรการลดความเสี่ยงในอนาคต
หวั่นญาติ “ต้องขับรถตามหาศพทีละวัด” หากรัฐยังไร้ระบบ
เขาย้ำว่าเช้าวันนี้ รัฐควรมีระบบการจัดการศพที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้ญาติผู้เสียชีวิตต้องตระเวนตามหาศพตามวัดหรือโทรสอบถามทีละโรงพยาบาล ซึ่งจะยิ่งสร้างความโกลาหลและบอบช้ำทางจิตใจ โดยเฉพาะกรณีผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงที่อาจถูกลำเลียงออกจากพื้นที่โดยไม่มีข้อมูลกลางรองรับ
อีกประเด็นที่ นพ.สุภัทรย้ำคือ “ความโปร่งใสของข้อมูลผู้เสียชีวิต” ซึ่งต้องเป็นข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือน เพื่อไม่ให้สังคมสูญเสียความเชื่อมั่น พร้อมเรียกร้องให้มีการประกาศระบบจัดการศพกลางภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นวันที่น้ำเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
