4 วัน War Room ภาคประชาชนส่วนหน้า เชื่อมประสาน สู่ปฏิบัติการใหม่ ฟื้นความหวังเมืองหาดใหญ่

ความเปลี่ยนแปลง ผ่านมุมมองผู้ปฏิบัติงาน ย้ำภาพยกระดับจัดการภัยพิบัติจากฐานชุมชน ขยาย เชื่อมต่อนักวิชาการ นักจัดการภัยพิบัติ และเอกชน สู่การปฏิบัติจริง จับต้องได้ เกิดรูปธรรมของปฏิบัติการแบบใหม่ ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐ เปลี่ยนเมืองที่สิ้นหวัง สู่ความเป็นไปได้ของการฟื้นตัว

สถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เริ่มคลี่คลายและเข้าสู่ระยะฟื้นฟู ซึ่งถือเป็นบทบาทสำคัญของ War Room ภาคประชาชน ภายใต้การทำงานร่วมกันของ Thai PBS มูลนิธิกระจกเงา เครือข่ายภาคประชาสังคม ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน เพื่อเป็นศูนย์ประสานงาน และสั่งการฟื้นฟูในพื้นที่จริง ควบคู่ไปกับ War Room ของภาครัฐ โดยมีเป้าหมายหลักคือการอุดช่องว่างของกลไกภาครัฐ และเข้าถึงกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบที่อาจตกหล่นจากระบบ

สร้างพลังพลเมืองรับมือภัยพิบัติอย่างยืดหยุ่น

สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยกับ The Active ว่า ตลอดช่วง 4 วันที่ผ่านมา War Room ภาคประชาชนส่วนหน้า สามารถระดมทรัพยากรและกำลังสนับสนุนจากหลายองค์กร มีรถเข้าร่วมปฏิบัติการมากกว่า 100 คัน จากหลายภาคส่วน อาทิ มูลนิธิกระจกเงา, กลุ่มอิชิตัน, องค์กรทำความดี รวมถึงทีมอาสาสมัครในท้องถิ่น โดยการเชื่อมประสานด้านที่พัก น้ำมัน การระดมกำลังอาสาสมัคร และการจัดสรรพื้นที่ทำงานอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้การทำความสะอาดและฟื้นฟูชุมชนสามารถเดินหน้าได้อย่างรวดเร็วและเป็นทิศทางเดียวกัน

สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา

สมบัติ ยังบอกอีกว่า แม้การทำงานในพื้นที่จะเริ่มต้นท่ามกลางความไม่คุ้นชินและขาดข้อมูลเชิงชุมชน แต่ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน ความจริงใจ และความโปร่งใสในการทำงาน ทำให้ความกังวลค่อย ๆ คลี่คลาย กลายเป็นความร่วมมือระหว่างคนในพื้นที่กับเครือข่ายภายนอกในเวลาไม่นาน การผสานพลังระหว่างคนท้องถิ่นที่รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี กับองค์กรที่มีประสบการณ์ด้านการจัดการอาสาสมัครและงานฟื้นฟู ทำให้การตอบสนองต่อสถานการณ์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้พื้นที่ตั้งแต่ต้น

สำหรับหัวใจสำคัญของ War Room ภาคประชาชนส่วนหน้าตลอด 4 วันในพื้นที่หาดใหญ่ คือ ความยืดหยุ่นและความรวดเร็วในการตัดสินใจ แตกต่างจากโครงสร้างราชการที่ต้องผ่านขั้นตอนจำนวนมาก แม้จะมีทรัพยากรจำกัดกว่า แต่กลับสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที ขณะเดียวกัน การทำงานร่วมกับเครือข่ายท้องถิ่นและภาคธุรกิจในพื้นที่ยังช่วยขยายขีดความสามารถ ทั้งในด้านกำลังคน ข้อมูลเชิงพื้นที่ และทรัพยากรที่จำเป็นต่อภารกิจฟื้นฟู

“การมีวอร์รูมทำให้คนเห็นว่าเมื่อเราประกอบร่างและรวมพลังกัน จากเดิมที่มีแค่การทำงานเชื่อมกันระหว่างภาคประชาสังคม กับ NGO ซึ่งเล็กเกินไป แต่ตอนนี้การเชื่อมต่อเห็นการขยายตัวมากขึ้น ทั้งนักวิชาการ นักจัดการภัยพิบัติ และภาคเอกชน จนทำให้เกิดเป็นปฏิบัติการที่จับต้องได้ เกิดจินตนาการใหม่”

สมบัติ บุญงามอนงค์

ต้นแบบระบบตอบโต้ภัยพิบัติภาคประชาชน

ผอ.มูลนิธิกระจกเงา ย้ำถึงเป้าหมายความสำเร็จของปฏิบัติการครั้งนี้ที่นอกจากการทำความสะอาดพื้นที่ แต่ยังครอบคลุมถึงการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความช่วยเหลือ โดยเฉพาะในกลุ่มชายขอบหรือชุมชนเปราะบาง ที่มักถูกมองข้ามในช่วงหลังภัยพิบัติ ยุทธศาสตร์สำคัญ คือการเข้าไปเก็บตกช่องว่างของระบบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ส่วนในแง่กรอบเวลา การทำความสะอาดพื้นที่หลักทั้งในและนอกตัวบ้าน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 20 – 30 วัน อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูในระยะยาวยังคงเป็นโจทย์ท้าทาย ทั้งในมิติของทรัพย์สิน เศรษฐกิจชุมชน และสุขภาวะทางใจ ผู้ประสบภัยจำนวนไม่น้อยยังคงเผชิญกับความหวาดกลัวทุกครั้งที่ฝนตกหนัก สะท้อนให้เห็นว่าภัยพิบัติไม่ได้ทิ้งบาดแผลเฉพาะทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังฝังลึกอยู่ในจิตใจของผู้คน

สมบัติ ยอมรับด้วยว่า เหนือกว่าภารกิจเฉพาะหน้า War Room ภาคประชาชนในหาดใหญ่ กำลังกลายเป็นต้นแบบของ ระบบตอบสนองภัยพิบัติภาคประชาชน ที่ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมาก่อน การที่ภาคประชาสังคม นักวิชาการ ภาคธุรกิจ และอาสาสมัคร ซึ่งเคยอยู่ในโลกคนละใบ สามารถมาร่วมมือกันภายใต้เป้าหมายเดียวกันได้ ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของโมเดลใหม่ที่ก้าวข้ามกรอบองค์กรแบบเดิม

“หัวใจสำคัญของโมเดลนี้ทำให้คนมองเห็นปัญหาเปลี่ยนเสียงบ่นไม่พอใจ ให้กลายเป็นพลังในการปฏิบัติงาน ลงมือแก้ไขปัญหา โดยมีภาคธุรกิจ กับภาคประชาสังคมมาประกอบร่างกัน จนเห็นเป็นรูปธรรมของปฏิบัติการแบบใหม่ แล้วจะนำไปสู่ความเชื่อใหม่ว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก จะเป็นระบบในการต่อสู้ภัยพิบัติที่ 2 ที่เกิดจากการร่วมกันระหว่างภาคประชาสังคม และอาสาสมัคร โดยไม่ต้องรอ หรือคาดหวังจากรัฐ”

สมบัติ บุญงามอนงค์

จากเมืองที่เกินเยียวยา สู่ความเป็นไปได้ของการฟื้นตัว

ขณะที่ บัญชร วิเชียรศรี นักวิชาการศึกษา จากสถานีวิทยุกระจายเสียง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ระบุว่า ก่อนหน้าการเข้ามาของ War Room ภาคประชาชน ชาวหาดใหญ่ส่วนใหญ่ไม่เคยมีประสบการณ์กับรูปแบบการจัดการภัยพิบัติในลักษณะนี้มาก่อน โดยที่ผ่านมาแม้เมืองจะเคยประสบอุทกภัย แต่การฟื้นฟูมักเป็นไปตามกลไกตามธรรมชาติ และการช่วยเหลือของหน่วยงานรัฐในพื้นที่เป็นหลัก ทว่าในวิกฤตครั้งนี้ ความรุนแรงของน้ำท่วมมีระดับที่หนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จนกลไกของรัฐ และท้องถิ่นไม่สามารถรองรับได้อย่างทันท่วงที ทำให้คนในพื้นที่รู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่กับความเสียหายตามลำพัง

ในช่วงเริ่มต้นที่มีข่าวว่ากลุ่ม War Room ภาคประชาชน เดินทางมาถึง ทีมงานในพื้นที่เองยังไม่แน่ใจว่านี่คือรูปแบบการทำงานแบบใด และจะสามารถช่วยเหลือได้จริงมากน้อยเพียงใด แต่เมื่อได้เห็นการประสานงานระหว่างมูลนิธิกระจกเงา ในฐานะแกนกลาง ร่วมกับองค์กรในพื้นที่และเครือข่ายจากภายนอกอย่างเป็นระบบ ก็เริ่มเกิดความหวังขึ้นอีกครั้ง

“โดยเฉพาะเมื่อมีการจัดตั้งกลไกล้างบ้าน เก็บขยะ และการนำเครื่องมือหนักจากภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุน ทำให้ภาพของเมืองที่เคยดูเหมือนเกินเยียวยา เริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ในการฟื้นตัว

บัญชร วิเชียรศรี

บัญชร ยังระบุด้วยว่า หากเปรียบเทียบกับเมื่อ 2 วันก่อนหน้านี้ บรรยากาศในพื้นที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากความสิ้นหวังและความรู้สึกหมดแรง กลับกลายเป็นพลังและความหวังที่ค่อย ๆ ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง โดยพลังสำคัญมาจากผู้คนที่เดินทางเข้ามาช่วยเหลือจากภายนอก ซึ่งไม่ได้ประสบภัยโดยตรง แต่มีความพร้อมทั้งด้านกำลังใจ ความรู้ และแรงกายในการสนับสนุนการฟื้นฟู สิ่งนี้ส่งผลโดยตรงต่อสภาพจิตใจของคนในพื้นที่ที่กำลังอ่อนล้า

“2 วันก่อนนี้ทุกคนสิ้นหวัง แต่พอเห็นพลังของคนข้างนอกเข้ามาซึ่งเขามีพลังมากกว่าเรา เพราะว่าเขาไม่ได้ประสบภัย เข้ามาด้วยความรู้สึกพร้อมที่จะมาช่วยเหลือ ส่วนเราที่มันฝ่ออยู่ แต่พอเห็นพลังของคนที่เข้ามา มันรู้สึกมีกำลังใจ”

บัญชร วิเชียรศรี

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active