สภาองค์กรผู้บริโภคฯ ชี้เหตุค่าไฟแพง เพราะไฟสำรองล้นระบบ 50%

สงครามรัสเซีย-ยูเครนไม่ใช่สาเหตุ เผยรัฐไม่คุมราคาก๊าซธรรมชาติ ต้นเหตุค่าไฟพุ่ง จี้ รมว.พลังงาน ชะลอซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าเอกชนทั้งในและต่างประเทศหนุนประชาชนพึ่งตนเอง ติดโซลาร์ระบบเน็ตมิเตอริ่ง ขยายเวลารับซื้อ 10 ปีเป็น25 ปี 

จากกรณี คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติเห็นชอบปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) สำหรับเรียกเก็บในงวดเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2565 นี้ ที่อัตรา 24.77 สตางค์ต่อหน่วย จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย

เมื่อนำค่า Ft ที่ปรับเพิ่มขึ้นไปรวมกับค่าไฟฟ้าฐานขายปลีกที่ 3.76 บาทต่อหน่วยจะทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าโดยรวมมากถึง 4 บาทต่อหน่วย 

ทั้งนี้อัตราค่า Ft ที่จะเรียกเก็บที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วยดังกล่าว ยังไม่ใช่อัตราค่า Ft ทั้งหมดที่จะถูกเรียกเก็บเพราะผลการคำนวณค่า Ft ที่ กกพ. ได้พิจารณาไว้แล้วมีค่าอยู่ที่ 129.91 สตางค์ต่อหน่วย คาดว่าจะมีการทยอยนำไปปรับขึ้นค่า Ft ต่อไปอีกในอนาคต

เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2565 นส.รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะพลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค พร้อมกลุ่มผีเสื้อกระพือปีก ได้เดินทางไปยังกระทรวงพลังงาน เพื่อยื่นข้อเสนอต่อ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 

รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า คณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะฯ สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ติดตามศึกษาสถานการณ์ปัญหาราคาพลังงานของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าปัญหาค่าไฟฟ้าแพงของประเทศ ไม่ได้มีปัจจัยจากภาวะสงคราม หรือราคาก๊าซธรรมชาติขยับสูงขึ้น แต่เพียงที่หน่วยงานด้านพลังงานกล่าวอ้างเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยสำคัญที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชนอีก คือ

  • ค่าไฟฟ้าแพงเพราะ การวางแผนการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศที่คำนึงถึงความมั่นคงทางด้านพลังงานเกินความจำเป็น และเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนธุรกิจพลังงานไฟฟ้าเกินสมควร ไม่มีความยืดหยุ่นต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ต่างๆของประเทศและของโลก ไม่ได้คำนึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้เกิดปัญหาปริมาณสำรองไฟฟ้าที่มากเกินจำเป็นหรือมีโรงไฟฟ้าในระบบล้นเกินความต้องการ โดยเห็นได้จากปัจจุบัน ประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 46,136.4 เมกะวัตต์ แต่มียอดใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่เกิดขึ้นในแต่ละปีนับแต่ปี 2562 – 2564 เพียงปีละประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ เท่านั้น หรือมีปริมาณเกินไปปีละ 10,000 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังการผลิตสำรองสูงถึงร้อยละ50 ขณะที่กำลังการผลิตสำรองไฟฟ้าที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณร้อยละ 15 เท่านั้น
  • ค่าไฟฟ้าแพง เพราะมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPPs) ที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าล้นเกินความต้องการใช้ ไม่ต้องเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า แต่ยังได้เงินค่าไฟฟ้าที่เรียกว่า“ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า” ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าในลักษณะ “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย”(Take or Pay) ประมาณการว่าที่ผ่านมา มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 8 ใน 12 แห่งไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าหรือเดินเครื่องไม่เต็มศักยภาพ แต่ยังได้รับเงินค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าแบบไม่ซื้อก็ต้องจ่าย โดยคาดว่าค่าภาระไฟฟ้าส่วนเกินนี้เป็นเงินมากถึง 49,000 ล้านบาทต่อปี
  • ค่าไฟฟ้าแพงเพราะ การที่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าอย่างเต็มศักยภาพ เพราะกำลังผลิตไฟฟ้าล้นระบบ จึงมีการผ่องถ่ายการผลิตไฟฟ้าไปให้โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPPs) เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแทน ตามประมาณการค่า Ft ในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2564 ค่าไฟฟ้าของโรงฟ้าขนาดเล็กมีอัตราสูงถึง 4 บาทต่อหน่วย มีปริมาณไฟฟ้าที่ซื้อมากถึง 18,014 ล้านหน่วยเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 73,261 ล้านบาท นับเป็นอัตราค่าไฟฟ้า ปริมาณซื้อไฟฟ้า และเกิดเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดในการซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนทั้งหมดโดยโรงไฟฟ้าขนาดเล็กจากจำนวนทั้งหมด 155 โรง ไม่ได้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดอย่างที่เข้าใจกันโดยทั่วไป แต่เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงมากถึง 76 โรงหรือคิดเป็นร้อยะ 49 ของจำนวน SPPs ทั้งหมด ซึ่งมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมกันประมาณ 6,200 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นร้อยละ 66 ของกำลังผลิตไฟฟ้า SPPs ทั้งหมด ขณะที่โรงไฟฟ้า SPPs พลังงานหมุนเวียนมีอยู่ 74 โรง แต่มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมกันเพียง 2,868.4 เมกะวัตต์หรือประมาณร้อยละ 30 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของกลุ่ม SPPs เท่านั้น 
  • ค่าไฟฟ้าแพงเพราะ ประชาชนไม่ได้ใช้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทยที่มีราคาต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบราคาก๊าซจากแหล่งอื่นๆ แต่ต้องใช้ราคาPOOL ก๊าซ หรือราคาผสมจากทุกแหล่ง ทั้งก๊าซที่ออกจากโรงแยกก๊าซ ก๊าซนำเข้าจากประเทศพม่าและ LNG ที่ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าสถานีบริการและค่าผ่านท่อที่ขยับสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ขณะที่มีเพียงกลุ่มโรงแยกก๊าซธรรมชาติและกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเท่านั้นที่ได้ใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยตามราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศที่ไม่ต้องไปรวมในราคา POOl ก๊าซ จึงเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติในราคาที่ต่ำและไม่มีการร่วมเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกับประชาชน
  • ค่าไฟฟ้าแพงเพราะ รัฐยังไม่ตระหนักถึงปัญหาปริมาณไฟฟ้าสำรองที่ล้นเกินอย่างจริงจัง แทนที่รัฐจะหยุดหรือลดการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้เกิดเป็นภาระต่อประชาชนอีก แต่รัฐยังจะเดินหน้ารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าในประเทศลาวเข้ามาอีก 2 โรง คือเขื่อนไฟฟ้าหลวงพระบาง มีอัตราค่าไฟฟ้า 2.8432 บาทต่อหน่วย และเขื่อนปากแบง อัตราค่าไฟฟ้า 2.9179 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าฐานขายส่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ 2.56863 บาทต่อหน่วย จึงย่อมบ่งชี้ได้ว่า ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายให้กับสองเขื่อนนี้จะเป็นภาระค่า Ft ของประชาชนในประเทศได้ในอนาคตนอกจากนี้การก่อสร้างโครงการเขื่อนทั้งสอง และเขื่อนอื่นๆ ยังมีปัญหาการร้องเรียนจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการอยู่อาศัยของประชาชนไทยและลาวตามมาอีกด้วย

จากปัญหาดังกล่าว สภาองค์กรของผู้บริโภค จึงมีข้อเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ดำเนินการดังนี้

  1. ให้ดำเนินการสนับสนุนการพึ่งตนเองด้านพลังงานไฟฟ้าของประชาชนอย่างเต็มที่ ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าด้วยระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาตามโครงการโซลาร์ภาคประชาชนให้เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน โดยขอให้ดำเนินการดังนี้

1.1 จากเดิมกำหนดราคารับซื้อไว้ที่ 2.20 บาท/หน่วย ให้เปลี่ยนเป็นระบบเน็ตมิเตอริ่ง หรือระบบการคิดค่าไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย เพื่อไม่ให้การไฟฟ้าต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือเป็นภาระในการเปลี่ยนหรือเพิ่มมิเตอร์ไฟฟ้า

1.2 ให้ขยายระยะเวลาการับซื้อไฟฟ้าของโซลาร์ภาคประชาชน จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 10 ปี เป็น 20 – 25 ปี หรือตามอายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์

1.3 ให้จัดหาแหล่งทุนกู้ยืมดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการติดตั้งระบโซลาร์เซลล์ได้อย่างแท้จริง

2. ขอให้ยับยั้งและทบทวนการคิดค่า Ft ใหม่โดยด่วน โดยให้ดำเนินดังนี้

2.1 ลดการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งทำให้มีค่าซื้อไฟฟ้าสูงถึง 4.00 บาทต่อหน่วย ให้มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าเท่ากับการผลิตของโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลงได้ประมาณ 8,860 ล้านบาทต่อปี 

2.2 ปรับลดเงินประกันกำไรของโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กที่ใช้ก๊าซธรรมชาติให้อยู่ที่ร้อยละ 1.75 ให้ใกล้เคียงกับเงินประกำไรของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่

2.3 ควรมีการกำหนดเพดานราคาก๊าซธรรมชาติในสูตรการคำนวณค่าผ่านท่อไว้ที่ 200 บาทต่อล้านบีทียู และกำหนดและค่าประสิทธิภาพที่ร้อยละ 2 ต่อปี เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าได้ถึง 587 ล้านบาทต่อปี  

2.4 ให้ปรับโครงสร้าง ราคา Pool Gas ใหม่ โดยนำปริมาณก๊าซธรรมชาติที่เข้าสู่โรงแยกก๊าซธรรมชาติและถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมารวมอยู่ในราคา Pool Gas ด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้ราคา Pool Gas ลดลง และคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี

3. ให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ออกไป และการดำเนินการเพื่อการได้มาซึ่งพลังงานไฟฟ้าทั้งในและนอกประเทศจะต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียงด้วย

4.  การดำเนินนโยบายด้านพลังงานและการกำกับกิจการพลังงานของประเทศขอให้ตระหนักถึงความมีธรรมาภิบาลอย่างสูงสุด และต้องไม่ให้มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง

ค่าไฟไทย แพงที่สุดในอาเซียน 

แผนการขึ้นค่าไฟฟ้าในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม นี้ นักวิชาการในเวทีเสวนาออนไลน์ที่จัดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ชี้ว่าจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่คิดค่าไฟฟ้าต่อหน่วยสูงที่สุดในบรรดาประเทศอาเซียนที่ 4 บาท ต่อหน่วย 

ขณะที่ประเทศในอาเซียนจ่ายค่าไฟเฉลี่ยที่ 2 บาทต่อหน่วย ขณะเดียวกัน บนเวทีระดมสมองในครั้งนี้มีการชี้ชัดถึงสาเหตุหนึ่งของต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในไทยที่สูงกว่าเพื่อนบ้าน คือ การมีไฟฟ้าสำรองเกินจำเป็น การจัดสรรราคาก๊าซธรรมชาติที่ไม่เป็นธรรม และการคิดค่าผ่านท่อที่แปรผันตามราคาก๊าซ ทั้ง ๆ ที่ต้นทุนท่อก๊าซไม่มีความผันแปร 

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า แผนการผลิตพลังงานไทยอาจไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง สภาองค์กรของผู้บริโภคจึงเสนอแผนเพื่อการปรับปรุงการผลิตพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

Author

Alternative Text
AUTHOR

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS