ไม่หวั่นเสียงค้าน! สนข. สรุปเดินต่อ ‘แลนด์บริดจ์’ เล็งชงร่าง พ.ร.บ.SEC เข้า ครม. ต.ค.นี้

รมช.คมนาคม ยันเรื่องธรรมดาโครงการใหญ่มีทั้งคนเห็นด้วย-เห็นต่าง ย้ำ ให้ความสำคัญข้อกังวลในพื้นที่ มีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ด้าน ผู้เชี่ยวชาญ นักธุรกิจเดินเรือ ยังตั้งข้อสงสัยความคุ้มค่า ประหยัดเวลา–ลดต้นทุน ขณะที่ ภาคประชาชน ซัดรัฐขาดความจริงใจ

วันนี้ (25 ส.ค. 68) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม จัดเวทีสรุปผลการศึกษา โครงการแลนด์บริดจ์ เชื่อมอ่าวไทย–อันดามัน โดยนำเสนอผลการศึกษาออกแบบเบื้องต้น การประเมินสิ่งแวดล้อม และโมเดลการลงทุน (Business Development Model) พร้อมเปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากภาครัฐ เอกชน ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ พร้อมรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ก่อนเดินหน้าจัดทำเอกสารประกวดราคา เตรียมหานักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติร่วมพัฒนาโครงการ

มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม บอกว่า โครงการแลนด์บริดจ์ถือเป็นนโยบายสำคัญภายใต้ “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” ที่จะเพิ่มศักยภาพการค้าและขับเคลื่อนประเทศสู่รายได้สูง โดยการศึกษาครั้งนี้ครอบคลุมทั้งรูปแบบโครงการ แผนการลงทุน และมาตรการรองรับผลกระทบต่าง ๆ โดยรัฐบาลตั้งเป้าให้โครงการเกิดประโยชน์รอบด้าน ทั้ง คมนาคม การจ้างงานกว่า 280,000 ตำแหน่ง การพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้ง ประมง อาหาร ยา เวชภัณฑ์ ท่องเที่ยว รวมถึงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณสุข และการศึกษา พร้อมจัดตั้ง “ศูนย์พัฒนาอาชีพ” รองรับแรงงานท้องถิ่น

ยัน รับฟังเสียงคัดค้าน – ความกังวลของชุมชน

เมื่อถามถึงข้อคัดค้านของชาวบ้านในพื้นที่ตลอดการจัดเวทีรับฟึงความเห็นที่ผ่านมา รมช.กระทรวงคมนาคม ยอมรับว่า โครงการขนาดใหญ่ย่อมมีทั้งผู้เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย โดยข้อกังวลหลักมาจากผลกระทบต่อที่ดินทำกิน อาชีพประมงพื้นบ้าน และสิ่งแวดล้อมชายฝั่ง พร้อมชี้แจงว่า รัฐบาลมีมาตรการรองรับ เช่น การชดเชยอาชีพ การจัดหาที่ดินทำกินใหม่ในกรณีพื้นที่ สปก. รวมถึงการออกกฎหมายเพื่อรองรับการจ่ายค่าชดเชยที่เป็นธรรมตามราคาตลาด

“โครงการขนาดใหญ่ ย่อมมีพี่น้องประชาชนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เราไปเปิดเวทีมีประชาชนหลายภาคส่วนเห็นด้วย แต่พี่น้องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ล้วนได้รับผลกระทบ เราก็ได้ส่งผลสรุปแล้วว่า ไม่ว่าผลกระทบเรื่องที่ดินทำกิน อาชีพประมงพื้นบ้าน ผลกระทบชุมชนหลังท่า เรื่องการสร้างโรงกลั่นน้ำมัน หรือท่อที่จะส่งปิโตรเลียม ตรงนี้เราได้คลายความกังวลว่าเรามีแผนรองรับ แก้ไขประเด็นความกังวลเหล่านี้อย่างไร และต้องยอมรับว่า ความเจริญเมื่อเข้าไปถึงทุกพื้นที่ก็จะมีผลตามมาคือเรื่องเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกัน รัฐก็มีความเป็นห่วงในเรื่องความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่เช่นเดียวกัน”

มนพร เจริญศรี

ส่วนข้อวิจารณ์จากภาคประชาสังคม ที่วิเคราะห์รายงาน EHIA โดยเฉพาะประเด็นขอบเขตการศึกษา ว่า การศึกษาผลกระทบครอบคลุมรัศมีเพียง 5 กิโลเมตรนั้น มนพร ยืนยันว่า เป็นไปตามข้อกำหนดของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) และดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย

ความคืบหน้ากฎหมาย SEC

มนพร ยังระบุด้วยว่า โครงการแลนด์บริดจ์จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดย ร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (พ.ร.บ.SEC) เนื่องจากมีประเด็นเรื่องกองทุน ทำให้กระทรวงการคลังต้องทำการพิจารณา โดยเตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนตุลาคมนี้ ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร คาดว่า จะเข้าไปพร้อมกันทั้ง 4 ฉบับ โดยใช้ร่าง ครม. พิจารณาเป็นร่างหลัก

ส่วนกรณีที่ ร่าง พ.ร.บ. SEC ถูกมองว่า เป็นกฎหมายที่คัดลอกมากจาก พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 (EEC) รมช.กระทรวงคมนาคม บอกว่า เนื่องจากการทำโครงการใหญ่ ต้องมีโมเดลการทำโมเดลธุรกิจ โดย EEC จะเป็นโครงการที่รัฐสนับสนุนเรื่องสาธารณูปโภค มีความแตกต่างจาก SEC คือ เป็นการชวนนักลงทุนเข้ามาตั้งแต่เริ่มต้น

“เอกชนจะรับรู้ดีว่า เขาจะต้องลงทุนนี้ แล้วมีความเสี่ยง และสามารถที่จะมีผลกำไรในธุรกิจนั้น ๆ ซึ่งแต่ละโมเดล เราก็ได้ถอดบทเรียนว่า EEC มีความบกพร่องตรงไหน เราก็จะเอาบทเรียนเหล่านั้นมาอยู่ในนโยบาย เป็นโครงการของ SEC ซึ่งดูเหมือนว่าจะเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด ถ้าแยกประเด็นความเหมือนความต่างก็จะมีความต่างกันอยู่ แล้วก็มีคณะกรรมการกองทุนคณะกรรมการ SEC ก็มีเช่นเดียวกัน”

มนพร เจริญศรี

สนข.ย้ำศึกษา “ครบถ้วน” เตรียมแผนรองรับผลกระทบชาวบ้าน

ขณะที่ ปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการ สนข. บอกว่า สนข.ได้ทำการจัดสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยมีการจัดไปแล้ว 2 ครั้งที่ จ.ระนอง เมื่อวันที่ 21 ส.ค. และที่ จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการ แต่ก็มีประชาชนบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการ และได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ในเรื่องต่าง ๆ เช่น เรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเล ผล กระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน การทำประมงพื้นบ้าน และการขุดลอกและถมทะเลเพื่อทำท่าเรือ โดยประชาชนส่วนใหญ่ต้องการรับทราบมาตรการในการแก้ปัญหา และมาตรการเยียวยาจากภาครัฐว่าจะเป็นอย่างไร

ปัญญา ยังชี้ว่า จากการรับฟังความคิดเห็นตลอดระยะเวลา 4 ปี จัดเวทีมากกว่า 60 เวที ได้รับทราบข้อกังวลจากประชาชน และได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นมากำหนดมาตรการในการป้องกัน และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยยึดหลักการพัฒนาโครงการให้เกิดความยั่งยืน เพื่อให้โครงการสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนควบคู่กับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบอาชีพของคนท้องถิ่นผ่านกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ซึ่งมีการกำหนดให้ผู้บริหารโครงการต้องทำการจัดตั้งกองทุน โดยให้ผู้ประกอบการในพื้นที่สมทบเงินเข้ากองทุน และนำเงินในกองทุนเพื่อไปใช้ในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และส่งเสริมให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก่อนมีการพัฒนาโครงการ 

ผู้อำนวยการ สนข. ยังย้ำถึงคำถามสำคัญจากชุมชน และนักลงทุน การศึกษาโครงการ : ครบถ้วนตามกฎหมาย ลงพื้นที่เก็บข้อมูลจริง ดังนี้

  1. ขอบเขตการศึกษา : ยืนยันว่า ทำการศึกษาครบถ้วนตามกฎหมาย ให้ความสำคัญกับผู้ได้รับผลกระทบ มีการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเรื่องสิ่งแวดล้อม บริษัทที่ปรึกษาได้เข้าไปในป่า ดูข้อมูลสัตว์ป่า หายาก จากการให้ความช่วยเหลือโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

  2. ผู้ได้รับผลกระทบ : เตรียมมาตรการเวนคืน และชดเชยตามราคาตลาด ซึ่งทำให้จำเป็นต้องผลักดัน ผ่าน พ.ร.บ. SEC

  3. ความคุ้มค่าโครงการ : สนข. ว่าจ้าง บริษัท Royal Haskoning จากเนเธอร์แลนด์ศึกษา ยืนยัน ความเป็นไปได้ โดยคาดว่าในช่วง 3 ปีแรกจะมีปริมาณ 4 ล้านตู้ต่อปี และจะเพิ่มขึ้นหลัง 6 ปี

  4. การตอบรับเอกชน : หอการค้าชุมพร–ระนอง และนักลงทุนทั้งไทย–ต่างชาติแสดงความสนใจ

  5. ขั้นตอนถัดไป : อยู่ระหว่างเร่งรัดออก พ.ร.บ.SEC และอยู่ระหว่างร่างเอกสารประกวดราคา  ซึ่งจะต้องมีการรับฟังความเห็นภาคเอกชนต่อเงื่อนไขที่ระบุไว้ใน TOR 

ภาคธุรกิจ ตั้งคำถามคุ้มจริงหรือ ?

ด้านตัวแทนจากภาคการเดินเรือ และผู้เชี่ยวชาญด้านท่าเรือ ตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้จริงของโครงการด้วย โดย สุวัฒน์ อัศวทองกุล กรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า การอ้างว่าจะ ลดเวลา 4 วันมองว่า แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะการถ่ายตู้สินค้าขนาดใหญ่ต้องใช้เวลารวม 8 – 9 วัน ขณะที่การแวะสิงคโปร์ใช้เวลาเพียง 1 วัน อีกทั้งต้นทุนสูงกว่า ซึ่งมองว่าไม่คุ้มค่า และผู้ส่งออกไทยส่วนใหญ่ยังใช้ท่าเรือแหลมฉบังที่มีการขยายรองรับอยู่แล้ว จึงกังวลว่าตัวเลขคาดการณ์ 40 ล้านทีอียูต่อปีของแลนด์บริดจ์อาจเกินจริง

พล.ร.ต. จตุพร ศุขเฉลิม ผู้เชี่ยวชาญการบริหารงานท่าเรือและขนส่งทางทะเล สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ระบุว่า ปัจจุบันปริมาณสินค้าคอนเทนเนอร์ในภาคใต้ มีเพียง 4–5 แสนตู้ต่อปี ส่วนใหญ่หากอยู่ภาคใต้ตอนบน จะส่งออกผ่านแหลมฉบัง ขณะที่ภาคใต้ตอนล่างใช้ท่าเรือปีนัง ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ มีสายเรือมาก และค่าขนส่งถูกกว่า แม้ระยะทางจะไกลกว่า จึงสะท้อนให้เห็นว่าการคาดการณ์ตัวเลขของโครงการอาจสูงเกินจริง

อีกประเด็นสำคัญคือ เส้นทางที่มีอยู่แล้ว เช่น ถนนสาย 44 มีความพร้อม ไม่ต้องเวนคืนที่ดิน และกว้างพอสำหรับการขนส่ง แต่กลับถูกมองข้าม โดยให้เหตุผลว่าจะไม่ใกล้ EEC ซึ่งสะท้อนความสับสน เพราะในธุรกิจเดินเรือ ปัจจัยต้นทุน สำคัญกว่าปัจจัยเวลา

“ผมอยากให้ย้อนดูบทเรียนจากหลายโครงการที่ล้มเหลว เช่น ท่าเรือปากบารา, ท่าเรือสงขลา 2, ถนนสาย 44 และ ท่าเรือคงใหญ่ ล้วนประเมินความต้องการไม่ตรงจริง จึงไม่สามารถดำเนินการต่อได้ การศึกษาของแลนด์บริดจ์วันนี้ก็มีลักษณะคล้ายกัน คือ อิงดีมานด์เฟค มากกว่า ดีมานด์จริง”

พล.ร.ต. จตุพร ศุขเฉลิม

ภาคประชาชน ซัด สนข. ขาดความจริงใจ

ขณะที่ สมโชค จุงจาตุรันต์ เครือข่ายปกป้องแผ่นดินชุมพรระนอง เปิดเผยกับ The Active ว่า เวทีรับฟังความคิดเห็นที่จัดทำโดย สนข. ถึงทางตัน เพราะไม่สามารถตอบข้อซักถามหรือข้อสงสัยกับประชาชนได้ ที่ผ่านมาบอกได้เพียงว่า อยู่ระหว่างการศึกษา มีมาตรการในการป้องกันแก้ไขข้อวิตกกังวลในเรื่องสิ่งแวดล้อม

สมโชค จุงจาตุรันต์ เครือข่ายปกป้องแผ่นดินชุมพร-ระนอง

รวมทั้งมองว่ามีการใช้ข้อมูลทางวิชาการที่เป็นเท็จ เช่น เรื่องที่ดินทำกิน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดย สนข. อ้างว่าอาศัยอำนาจของ พ.ร.บ.SEC ซื้อที่ดินชาวบ้านที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์หรือใช้ที่ดินของรัฐ โดยจะให้เท่าราคาตลาด ซึ่งได้โต้แย้งไปแล้วว่า ร่าง พ.ร.บ.SEC ให้อำนาจคณะกรรมการกำหนดนโยบาย หรือ เลขาธิการ SEC เป็นคนสรรหาอสังหาริมทรัพย์มาเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ด้วยวิธีการ ซื้อ เช่าซื้อ หรือเวนคืน ไม่ได้มีกฎหมายที่เฉพาะเจาะจงไปในเรื่องของการกำหนดให้ซื้อที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในราคาตลาด หรือราคาตามโฉนด 

“โดยทั่วไปที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรือที่ดินของรัฐ จะไม่มีการเวนคืน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่โกหกพี่น้องประชาชนมาตลอด ค่าอาสินก็เช่นกัน เค้าจะจ่ายค่าชดเชยให้กับชาวบ้าน โดยจ่ายค่าต้นมังคุด ต้นละ 8,000 บาท คูณกับระยะเวลาให้ผลผลิต ซึ่งเค้าให้เพียง 20 ปี ทั้งที่มังคุดสามารถให้ผลได้ถึง 200 ปี ผมเลยอยากทราบว่าออกกฎหมายข้อไหน มาตราไหน กฎกระทรวงใด มาช่วยตอบชาวบ้าน เขาตอบไม่ได้”

สมโชค จุงจาตุรันต์

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active