‘กมธ.พัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา’ เปิดเวที สะท้อนข้อกังวล ชี้ความไม่ชอบมาพากล ‘แลนด์บริดจ์’ มอง รัฐบาลเร่งผลักดัน ทั้งที่ผลการศึกษา ระบุชัด ไม่คุ้มค่า ขณะที่ ภาคการท่องเที่ยวใต้ ย้ำ พัฒนาได้ แต่ไม่จำเป็นต้องสร้างโครงการขนาดใหญ่เกินไป แนะแจงข้อมูลครบถ้วน โปร่งใส ย้อนดูบทเรียนพื้นที่อื่น ไม่ให้ปัญหาซ้ำรอย
เมื่อวันที่ 14 ก.ย.68 ที่ห้องประชุมราชพฤกษ์ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา (กมธ.พัฒนาการเมืองฯ) จัดเวทีเสวนา “ข้อห่วงกังวลต่อนโยบาย SEC และ Landbridge ภาคใต้” โดยมี สมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการ และภาคประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมแสดงความเห็น เพื่อสะท้อนถึงผลกระทบและความไม่ชอบมาพากลของโครงการแลนด์บริดจ์ เมกะโปรเจ็กต์ที่รัฐบาลตั้งเป้าผลักดันอย่างเร่งด่วน โดยผู้เข้าร่วมเสวนาต่างเห็นพ้องว่า กระบวนการศึกษาผลกระทบ การมีส่วนร่วมของประชาชนมีปัญหาและอาจละเมิดสิทธิของคนในพื้นที่
EHIA ขาดมาตรฐาน เน้นเพียง “ทำตามขั้นตอน”
พรชัย วิทยเลิศพันธุ์ รองเลขานุการ กมธ. พัฒนาการเมืองฯ บอกว่า จากการลงพื้นที่จริง และก่อนหน้านี้ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง พบว่า กระบวนการศึกษา EHIA มีปัญหาในเชิงกระบวนการ เริ่มตั้งแต่การแบ่งซอยโครงการศึกษาออกเป็นส่วนย่อย ๆ ทำให้การศึกษาแต่ละส่วนขาดความเชื่อมโยงกัน

นอกจากนี้รายงานที่ออกมาจึงมีลักษณะเป็นเอกสารที่ด้อยมาตรฐานทางวิชาการ มีข้อมูลคลาดเคลื่อนและไม่น่าเชื่อถือในหลายประเด็น เช่น การระบุว่า พบสัตว์น้ำในพื้นที่ก่อสร้างเพียง 4 ชนิด ซึ่งเป็นข้อมูลที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงอย่างมาก นอกจากนี้รายงานยังไม่ได้กล่าวถึง ชาวมอแกน ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับพื้นที่ หรือแม้กระทั่ง สุสานหอยล้านปี ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติที่สำคัญ
“พื้นที่โครงการทับซ้อนกับพื้นที่สำคัญทางนิเวศวิทยา ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ปากแม่น้ำกระบุรี ปากคลองกะเปอร์ และพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อ ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พยายามเสนอจะขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก และมีเพียงสองแห่งในโลกเท่านั้น”
พรชัย วิทยเลิศพันธุ์

พรชัย ยังชี้ว่า การประเมินผลกระทบโดยการกำหนดขอบเขตการศึกษาเพียง 5 กิโลเมตร ไม่เพียงพอสำหรับโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ และยังไม่ครอบคลุมเส้นทางการเดินเรือประมงพื้นบ้านที่อาจได้รับผลกระทบอย่างหนัก ขณะที่การจัดทำรายงานก็เน้นการนำเสนอแต่เพียงแง่ดีของโครงการ โดยไม่มีการจัดทำ แบบจำลองภัยพิบัติ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
ที่สำคัญ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นเพียงการทำตามขั้นตอน ไม่ใช่การมีส่วนร่วมที่มีความหมายอย่างแท้จริง เช่น เวทีรับฟังความคิดเห็น (ค.3) ไม่ทั่วถึง ไม่ระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างชัดเจน และผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้ได้รับผลกระทบที่แท้จริง อีกทั้งการเข้าถึงข้อมูลรายงาน EHIA ที่มีความหนากว่า 1,300 หน้า และอยู่ในรูปแบบ QR Code ก็เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อประชาชนทั่วไป
พรชัย ยังย้ำด้วยว่า กฎหมาย SEC อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะยกเว้นกฎหมายหลายฉบับ ทั้งกฎหมายผังเมือง กฎหมายเวนคืนที่ดิน และยังจำกัดสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทเรียนจาก โครงการ EEC ที่เป็นกฎหมายที่ไม่ปกติ และก่อให้เกิดปัญหามากมาย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วม การเกิดโรงงานรีไซเคิล และปัญหาความล่าช้าของกฎหมายลูก
อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร อาจจะคุ้มค่ากว่า
นรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ระบุถึงความกังวลในหลายประเด็น โดยเฉพาะด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ โดยได้เล่าถึงการเชิญสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้ามาชี้แจง ซึ่งได้รับข้อมูลว่า “การลงทุนครั้งนี้ ไม่มีความคุ้มค่าอย่างที่คิด ถ้าโครงการทำตอนนี้ การอยู่เฉย ๆ อาจจะคุ้มค่ามากกว่า” ทำให้เกิดคำถามอย่างมากต่อการเร่งรัดโครงการนี้ โดยตั้งคำถามถึงการแยกศึกษาโครงการที่ทำให้มองไม่เห็นภาพรวม

“การแยกโครงการศึกษาเป็น 4 โครงการ เป็นสิ่งที่ กมธ. อยากได้คำตอบ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนก่อนเดินหน้าโครงการ พี่น้องประชาชน ไม่ได้กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้กลัวการพัฒนา แต่แค่รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงที่รัฐยัดเยียดเข้ามา เขาไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย สิ่งที่รัฐเตรียมให้กับนายทุนที่จะเข้ามาร่วมลงทุน เขาไม่ได้รับโอกาสเหล่านั้นเท่าที่เขาควรจะได้”
นรเศรษฐ์ ปรัชญากร
นรเศรษฐ์ บอกอีกว่า ในมุมมองของประชาชน เมื่อเป็นโครงการขนาดใหญ่ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนควรได้รับการประเมินอย่างรอบด้าน แต่รายงานที่ออกมากลับยังไม่ชัดเจน ทั้งผลกระทบและการประเมินมูลค่าความเสียหาย สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าโครงการควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติมอย่างรอบคอบ
“กระบวนการ EHIA ในปัจจุบันยังขาด การมีส่วนร่วมที่แท้จริง ประกอบกับการที่มีการแยกการศึกษาออกเป็น 4 โครงการย่อย ยิ่งทำให้คณะกรรมาธิการตั้งคำถามและต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะเดินหน้าโครงการใด ๆ”
นรเศรษฐ์ ปรัชญากร
ตั้งคำถาม ‘ศักยภาพ’ พื้นที่ควรพัฒนาไปทางไหน ?
สุทธิเกียรติ คชโส อนุกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ได้กล่าวถึงการคัดเลือกพื้นที่ต้องพิจารณาศักยภาพของพื้นที่ ว่ามีความเหมาะสมในการพัฒนาไปในทิศทางใด โดยปกติแล้ว รัฐบาลจะกำหนดนโยบายผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงไปศึกษา แต่พบว่าปัจจุบันมีการศึกษา โดย 2 หน่วยงานหลัก คือ สภาพัฒน์ และ สนข. ซึ่งมีผลการศึกษาแตกต่างกัน คำถามสำคัญคือ ศักยภาพของพื้นที่นี้ควรพัฒนาไปในทิศทางใด ขณะที่ประชาชนกลับไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการ ทั้งที่ควรมีการเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น

“ที่ผ่านมามีการจัดโรดโชว์ แต่การประเมินโครงการไม่ได้ยึดโยงกับเสียงของประชาชนและภาควิชาการ อีกทั้งในขั้นตอนการกำหนดขอบเขต ของการศึกษา กฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องมีรัศมีอย่างน้อย 5 กิโลเมตร แต่หากโครงการมีผลกระทบมากกว่านี้ ก็จำเป็นต้องขยายขอบเขตการศึกษา โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ”
สุทธิเกียรติ คชโส
สุทธิเกียรติ ชี้ว่า ประเด็นสิทธิในการมีส่วนร่วมก็เป็นปัญหา มีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งเพิ่งมีรายงานออกมาระบุว่า กระบวนการ EHIA ของโครงการนี้ละเมิดสิทธิการมีส่วนร่วม รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล เมื่อการกำหนดขอบเขตไม่ชัดเจน ย่อมส่งผลให้ขั้นตอนต่อมาไม่ชัดเจนตามไปด้วย และทำให้การศึกษาครอบคลุมน้อยกว่าที่ควร
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องสถานะบุคคลและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลและการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเป็นธรรม หากไม่มีการใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อให้เขาเข้าใจและสื่อสารความเห็นอย่างตรงไปตรงมา กระบวนการรับฟังความคิดเห็นก็จะเป็นเพียงพิธีกรรมที่ไม่สะท้อนข้อเท็จจริง เข้าข่ายละเมิดสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่กำลังจะขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑล หากพัฒนาไปโดยไม่ประเมินรอบด้านแล้ว ย่อมแก้ไขในภายหลังไม่ได้
“ในภาพรวม โครงการแลนด์บริดจ์มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สนข. รับผิดชอบสร้างท่าเรือทั้งสองฝั่ง กรมทางหลวงรับผิดชอบสร้างถนนมอเตอร์เวย์ และการรถไฟแห่งประเทศไทยดูแลโครงการรถไฟ แต่ปัญหาคือหน่วยงานเหล่านี้ไม่สามารถบูรณาการงานเข้าด้วยกันได้ อีกทั้งยังมีคำถามถึงความเชี่ยวชาญของ สนข. ในการทำท่าเรือ เพราะผู้มีอำนาจอนุมัติโครงการท่าเรือจริง ๆ คือกรมเจ้าท่า ดังนั้นการนำผลการศึกษาที่แยกกันทำมารวมเป็นโครงการเดียวกัน จึงมีข้อกังขาในด้านความเป็นไปได้และคุณภาพของการศึกษา”
สุทธิเกียรติ คชโส
สุทธิเกียรติ จึงเสนอว่า ควรทำ SEA (Strategic Environmental Assessment) เพื่อทบทวนศักยภาพของพื้นที่ว่ามีความเหมาะสมและควรพัฒนาไปในทิศทางใด ระยะสั้นควรปรับปรุงรายงาน EHIA ให้ครอบคลุมมากขึ้น และกำหนดขอบเขตใหม่อย่างรอบด้าน พร้อมทั้งเติมเต็มข้อมูลที่ขาดหาย เพื่อไม่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ถูกมองข้าม และเพื่อให้การพัฒนามีความโปร่งใสและเป็นธรรม
ห่วงรัฐดันแลนด์บริดจ์ ติดกระดุมเม็ดแรกผิด ?
ขณะที่ อภิศักดิ์ ทัศนี ผู้ประสานงานกลุ่ม Beach for Life ย้ำว่า ขั้นตอนการทำ EHIA ของท่าเรือ ขณะนี้อยู่ที่ สนข. เตรียมเสนอไปยัง สผ. จากนั้นเข้าสู่การพิจารณาของ คชก. และ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อม โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หากมี พ.ร.บ. SEC ออกมา จะยิ่งกำหนดกรอบเวลาให้กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่กำหนดตายตัว

“ปัญหาสำคัญอยู่ที่การกำหนดขอบเขตการศึกษาเพียงรัศมี 5 กิโลเมตร ซึ่งไม่ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบจริง เท่ากับ ติดกระดุมเม็ดแรกผิด จำเป็นต้องรื้อและแก้ไขใหม่ทั้งหมด เช่น มีการติด GPS ที่เรือประมงของชาวบ้านหาดทรายดำ ซึ่งอยู่ห่างออกไป 6 กิโลเมตร แต่กลับพบว่าเรือผ่านเข้าไปในพื้นที่โครงการโดยตรง หรือกรณีเกาะพยามซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือเพียง 1 กิโลเมตร แต่รายงานกลับระบุว่ามีผู้ได้รับผลกระทบเพียง 8 ครัวเรือน”
อภิศักดิ์ ทัศนี
นอกจากนี้ อภิศักดิ์ ยังมองว่า การก่อสร้างยังมีการกำหนดขนหินจากท่าเรือเดิมในจังหวัดระนอง แต่กลับไม่มีการศึกษาในพื้นที่ดังกล่าวว่าชาวบ้านที่อาศัยและทำมาหากินบริเวณนั้นจะได้รับผลกระทบอย่างไร และข้อผิดพลาดของข้อมูลการศึกษายังพบได้ชัด เช่น จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่ระบุในรายงานไม่ตรงกับข้อมูลจริงของกระทรวงสาธารณสุข
“กระบวนการมีส่วนร่วมก็มีปัญหาเช่นกัน เวที ค.1 เริ่มต้นผิดตั้งแต่แรก ส่วนเวที ค.2 ซึ่งควรเป็นเวทีรับฟังความคิดเห็น กลับมีผู้เข้าร่วมเป็นเพียงข้าราชการ ไม่ใช่กลุ่มอาชีพหรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจริง”
อภิศักดิ์ ทัศนี
อภิศักดิ์ บอกด้วยว่า การเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ เท่ากับการเดินหน้ากฎหมาย SEC ซึ่งมีลักษณะเดียวกับ EEC และสิ่งที่น่ากังวล คือ โครงการนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจมหภาค กระตุ้นแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามา เช่น การให้สิทธิใช้เงินตราต่างประเทศในเขตเศรษฐกิจพิเศษ การให้สิทธิเช่าที่ดินยาวนานถึง 99 ปี ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วใน EEC คำถามคือ “ประชาชนท้องถิ่นจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ท่ามกลางกฎหมายที่ถูกออกแบบมาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนเป็นหลัก”
‘แลนด์บริดจ์’ เรื่องใหญ่ที่คนไทยต้องรู้
สุพัฒพงศ์ แย้มอิ่ม จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ให้ความเห็นเช่นกันว่า การพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ ไม่ใช่เพียงเรื่องของพี่น้อง จ.ชุมพร จ.ระนอง เท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่คนทั้งประเทศควรเข้าใจและรับรู้ ต้องยอมรับว่า โครงการนี้มีทั้งผู้ได้และผู้เสีย เป็นนโยบายของรัฐที่มุ่งให้เกิดการพัฒนา แต่การพัฒนานั้นต้องไม่ละเลยทุนมนุษย์ อีกทั้งภาคใต้มีทรัพยากรธรรมชาติทั้งป่า เขา และทะเล โครงการนี้ถูกพูดถึงมาอย่างยาวนาน และพี่น้องประชาชนในภาคใต้เองก็เฝ้าติดตามว่าจะขับเคลื่อนไปในทิศทางใด คำถามสำคัญคือ ประชาชนจะอยู่ตรงไหนในกระบวนการนี้

“สิ่งที่ฝากถึงผู้กำหนดนโยบายคือ ต้องชี้ให้ชัดว่า ประชาชนได้หรือเสียอย่างไร เข้าใจโครงการเพียงใด และมีส่วนร่วมจริงหรือไม่ ทุกวันนี้อาจมีประชาชนเพียง 10% เท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลของโครงการ ขณะที่ภูมิปัญญาของคนใต้เองก็มีคุณค่า ไม่ควรถูกมองข้ามในการพัฒนา”
สุพัฒพงศ์ แย้มอิ่ม
สุพัฒพงศ์ กล่าวว่า การพัฒนาโครงการต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนในพื้นที่ หลายครอบครัวยังไม่มีที่ดินทำกิน ต้องใช้ที่ดินของรัฐ ปัญหาที่ดินเป็นเรื่องใหญ่ เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นในจังหวัดชุมพร ภาคใต้ยังมีชาวบ้านดั้งเดิมที่อยู่มาก่อนโครงการ หากเกิดการพัฒนา ก็ย่อมกระทบต่อวิถีชีวิต ดังนั้นจึงต้องหาทางออกให้คนกับโครงการอยู่ร่วมกันได้
“ชาวบ้านบางรายเพิ่งลงทุนปลูกสวนทุเรียน หากพื้นที่ถูกเวนคืน เขาจะไปทำกินที่ไหน แม้รัฐจะจัดหาที่ดินให้ใหม่ แต่สิทธิของชุมชนดั้งเดิมก็ถูกกระทบอย่างแน่นอน”
สุพัฒพงศ์ แย้มอิ่ม

สอดคล้องกับ เบญจวรรณ ทับทิมทอง จากเครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ แสดงความกังวลว่า การเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์จะเท่ากับการผลักดันกฎหมาย SEC ซึ่งจะให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุนต่างชาติ เช่น สิทธิการเช่าที่ดิน 99 ปี ซึ่งจะทำลายวิถีชีวิตและสิทธิในที่ดินทำกินของคนท้องถิ่นอย่างรุนแรง นอกจากนี้ โครงการยังจะทำให้เกิดการสัมปทานเหมืองหินหลายแห่งในพื้นที่ภูเขา ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ และจะกระทบต่อพื้นที่เกษตรกรรมและระบบนิเวศอย่างรุนแรง
พัฒนาภาคใต้ ต้องไม่ลืมมิติท่องเที่ยว – ผลกระทบต้องน้อยที่สุด
เช่นเดียวกับ เธียรทัศน์ เอี่ยมตระกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จ.สุราษฎร์ธานี ให้มุมมองว่า จากการศึกษาของสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหลายจังหวัด พบว่า การศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ยังไม่ครอบคลุมพื้นที่อย่างแท้จริง ทั้งที่มูลค่าการท่องเที่ยวของ 14 จังหวัดภาคใต้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ประเทศฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด-19 ส่วน ร่างกฎหมาย SEC ที่กำลังจะถูกผลักดัน มีต้นเค้ามาจากแนวคิด คอคอดกระ และมีการกำหนดให้คณะกรรมการที่เปรียบเสมือน ครม.น้อย มีอำนาจเหนือกฎหมายอื่น ๆ คำถามคือ เราควรทบทวนด้วยว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรายได้หลักจากอะไร และควรมองบทเรียนจาก EEC ที่แม้จะเป็นโครงการเศรษฐกิจพิเศษเช่นกัน แต่เงื่อนไขทางภูมิศาสตร์และบริบทพื้นที่ภาคตะวันออกกับภาคใต้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“โดยเฉพาะการท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศ แต่กลับไม่ถูกนำมาวิเคราะห์ในรายงาน ขณะที่การท่องเที่ยวภาคใต้เข้มแข็งมากอยู่แล้ว อาจมีทางเลือกอื่น เช่น การพัฒนา Southern Seaboard ในขั้นเริ่มต้น ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็นต้องสร้างโครงการขนาดใหญ่เกินไป”
เธียรทัศน์ เอี่ยมตระกูล
เธียรทัศน์ เสนอว่า สิ่งสำคัญคือต้องขยายกรอบการศึกษาให้ครอบคลุมผลกระทบทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่ที่ชาวบ้านเท่านั้น ภาคธุรกิจโรงแรมและบริการก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน และ คำถามคือ ภายใต้โครงการ SEC วันนี้ ชาวบ้านเข้าใจหรือยังว่ามีผลต่อชีวิตอย่างไร การชี้แจงให้ข้อมูลมีมากน้อยเพียงใด ความห่วงใยของคนใต้คือ เราพร้อมรอการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนนั้นต้องเป็นไปในเชิงบวก และกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมให้น้อยที่สุด
“ชาวใต้ไม่ได้คัดค้านโครงการ แต่ต้องการข้อมูลที่ครบถ้วน โปร่งใส การขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษตลอด 2 ปีที่ผ่านมาข้อมูลต่อสาธารณะยังมีน้อยมาก กระทั่งนักเรียน นักศึกษา หรือคนรุ่นใหม่ก็ยังไม่รู้ว่าโครงการนี้คืออะไร ทั้งที่เป็นเรื่องที่จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขาโดยตรง หากประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้า ก็ต้องก้าวไปอย่างมั่นคงและเข้มแข็ง”
เธียรทัศน์ เอี่ยมตระกูล