“อัมมาร…อาลัย” สิ้นครูใหญ่แห่งวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ไทย อดีตประธานทีดีอาร์ไอ แล้ววานนี้ (4 ต.ค. 68) แวดวงนักเศรษฐศาสตร์และนโยบาย ร่วมอาลัย ถ่ายทอดคุณูปการด้านเศรษฐศาสตร์และการพัฒนานโยบายเศรษฐกิจส่วนรวม ที่มองเห็นชีวิตคน
ศาสตราจารย์พิเศษ อัมมาร สยามวาลา บุคคลที่มีบทบาทสำคัญ ในการก่อตั้ง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ สถาบันวิจัยเชิงนโยบายแห่งแรกของประเทศไทย เมื่อปี 2527 และนับเป็นนักวิจัยคนแรกของทีดีอาร์ไอ ตลอดชีวิตของการเป็นนักวิชาการของ ศ.อัมมาร ได้สร้างผลงานทางวิชาการที่สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะจำนวนมาก
ภายหลังการเสียชีวิตอย่างสงบ เมื่อเย็นวันที่ 4 ต.ค. 2568 แวดวงนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ ต่างถ่ายทอดหลักคิดในเชิงเศรษฐศาสตร์ ข้อเสนอและข้อวิพากษ์ที่มีต่อการดำเนินนโยบายของรัฐ ที่ ศ.อัมมาร เคยมีส่วนร่วมและสร้างคุณค่าต่อสังคมไทยอย่างยาวนาน
สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยว่า ศ.อัมมาร เป็นผู้รังสรรค์ประโยค ‘คนตรงในประเทศคด’ หรือ “A straight man in a crooked country” ที่หมายถึง ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ แสดงถึงความเป็นคนซื่อตรง มีความซื่อสัตย์สุจริต และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นข้อความที่ทรงพลังในเวลาต่อมา
สมชัย บันทึกประสบการณ์เมื่อครั้งได้สนทนาและวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ร่วมกับ ศ.อัมมาร ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมือง และสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิจัยและนักวิชาการที่ใกล้ชิดต่างรอคอย เพราะทุกครั้งจะเป็นการเปิดโลกให้กับผู้เข้าร่วมพูดคุยเสมอ เพราะความลุ่มลึกในองค์ความรู้ การวิเคราะห์จุดยืนทางนโยบายที่น่าเคารพยิ่ง
“…ที่สำคัญ คือ จุดยืนทางวิชาการที่ตรงไปตรงมาเสมอ มีความกล้าหาญ มีจิตเสรี กล้าตั้งคำถามกับทุกเรื่อง และยังสามารถหาคำตอบให้กับเกือบจะทุกเรื่องที่ตั้งคำถามได้เช่นกัน ซึ่งหาได้ยากมากในนักวิชาการไทย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นของท่านหรือรุ่นหลังจากนั้น”
สมชัย จิตสุชน
สมชัย ยังกล่าวถึง คุณูปการของ ศ.อัมมาร ที่มีต่อนโยบายสาธารณะและแวดวงวิชาการว่ามีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยเรื่องข้าว หนี้สินเกษตรกร การเป็นประธานการ ‘ชำแหละศพเศรษฐกิจไทย’ หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง จนนำไปสู่ ‘รายงาน ศปร.’ (รายงานผลการวิเคราะห์และวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตทางเศรษฐกิจ เสนอโดย คณะกรรมการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ หรือ ศปร.) อันลือเลื่อง และอีกหลายบทความทั้งไทยและอังกฤษเกี่ยวกับต้มยำกุ้ง
“อาจารย์ยังถือได้ว่าเป็น inclusive economist รุ่นแรก ๆ ของไทยด้วย แสดงออกถึงความสนใจในชีวิตคนเล็กคนน้อยมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเป็นนักเศรษฐศาสตร์ด้านการเกษตร ความยากจน หนี้ครัวเรือน การพัฒนาชนบท เป็นต้น”
วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านสาธารณสุขและการเกษตร ทีดีอาร์ไอ ได้กล่าวช่วงหนึ่งในคำอาลัยถึง ศ.อัมมาร ว่า เป็นนักวิชาการที่ยืนหยัดโดยท้าทายบน “หอคอยงาช้าง” โดยระบุว่า ในฐานะที่ตนเป็นนักกิจกรรมนักเรียนหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จึงเข้าใจดี และมั่นใจว่าอาจารย์อัมมารก็ตระหนักดีเช่นกันว่าคำว่า “นักวิชาการหอคอยงาช้าง” เป็นคำที่นักกิจกรรมนักศึกษา/นักเรียน และฝ่ายซ้ายไทย ใช้กระทบกระเทียบนักวิชาการที่พวกเขามองว่าไม่ติดดิน/ไม่อยู่ข้างมวลชน การที่อาจารย์อัมมารยังเลือกใช้นามปากกา “Ivory Tower” และ “หอคอยงาช้าง” จึงเป็นการแสดงจุดยืนว่าวิชาการที่ถูกต้องนั้นมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทยยิ่งกว่าคำพูดที่สวยหรู แต่เป็นนโยบายหรือมาตรการที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน/ผู้ด้อยโอกาสจริง ๆ
“สำหรับผมและนักวิชาการอีกหลายท่าน (รวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์) ท่านอาจารย์อัมมารจึงเป็นนักวิชาการที่ทั้งเก่งและดี แต่ท่านก็ยืนหยัดอย่างมั่นคงด้วยความภูมิใจในการเป็น “นักวิชาการบนหอคอยงาช้าง” ที่ไม่คิดจะสร้างภาพ ปฏิเสธตำแหน่งรัฐมนตรี และอาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักสำหรับมวลมหาประชาชนในวงกว้าง แต่ก็เป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจสำหรับเพื่อนร่วมงานและศิษย์รุ่นหลังจำนวนมากที่จะยินดีที่จะเป็นนักวิชาการที่ยืนหยัดโดยท้าทายบนฐานวิชาการอย่างมั่นคงต่อไป”
กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ร่วมอำลา ศ.อัมมาร เช่นกัน โดยระบุว่า ศ.อัมมาร เป็นผู้มีอิทธิพลต่อความคิดของตนมานาน มีอิทธิพลต่อหลักคิดและแนวทางบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลอภิสิทธิ์มากที่สุดท่านหนึ่ง
พร้อมหยิบยกข้อคิดเห็นที่ ศ.อัมมาร มีต่อการดำเนินนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่มองว่าจะมีมาตรฐานดีขึ้นก็ต่อเมื่อชนชั้นกลางร่วมรักษาในระบบนี้ เพราะตราบใดที่นโยบาย 30 บาทฯ ยังเป็นระบบการรักษาให้กับผู้มีรายได้น้อย ก็จะไม่มีการพัฒนาคุณภาพเท่าที่ควร ซึ่งตนมองว่า วิธีคิดด้วยหลักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์เช่นนี้ มีคุณค่าอย่างมากกับสังคม มีประเด็นให้เกิดการถกเถียง
เวลามีผู้นำท่านใดพูดว่า “ใครมีสตางค์ก็ไปรักษา รพ.เอกชน จะได้ไม่ไปแย่งบริการคนยากคนจน” อาจารย์อัมมารจะบอกว่า ฟังดูดี แต่ในระยะยาวไม่เป็นผลดีต่อ ระบบ 30 บาทของ สปสช. เพราะโจทย์คือทำอย่างไร ระบบ 30 บาทจึงจะได้งบประมาณเพียงพอ และตราบใดที่ผู้มีปากมีเสียงมีอำนาจในสังคมไม่เป็นผู้ใช้บริการ ก็ยากที่จะมีการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอ
กรณ์ จาติกวณิช
ด้าน ผศ.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการผู้ศึกษาการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เปิดเผยกับ The Active โดยระบุว่า แม้ไม่ได้พูดคุยใกล้ชิด ศ.อัมมาร มากนัก แต่ ศ.อัมมาร ถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์คนแรก ๆ ในการพัฒนาประเทศที่เลือกศึกษาหลายเรื่อง ทั้งในด้านการเกษตร ความยากจน หนี้ครัวเรือน และอีกมากมาย โดยเฉพาะ การใช้มาตรการทางภาษีเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่ได้จุดประกายให้ตนเริ่มต้นศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
โดยเฉพาะเรื่อง “การถือครองที่ดิน” ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ ที่เรายังเห็นปรากฏอยู่ในหน้าสื่อ คือ “ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน” ที่ชาวบ้านอาจเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของรัฐโดยไม่รู้ หรืออาจอยู่อาศัยมาก่อนการประกาศเป็น “พื้นที่ของรัฐ” เช่น พื้นที่อุทยานหรือพื้นที่ป่าสงวน ปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความไม่เท่าเทียมและความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ในสังคมไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จุดประกายสังคม รวมถึงตนเองในช่วงเริ่มต้นศึกษาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ผ่านเรื่อง “การถือครองที่ดิน” และ “ระบบภาษี”
“เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยากรู้ว่า ความเหลื่อมล้ำในประเทศมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งปัจจุบันก็พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคของประเทศสูงถึง 0.89 จะใกล้ 1 ซึ่งหมายถึงความไม่เสมอภาคอยู่แล้ว”
สำหรับ ศาสตราจารย์พิเศษ อัมมาร สยามวาลา เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ผู้มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมา ศ.อัมมาร มีผลงานวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาเศรษฐศาสตร์การเกษตร เศรษฐศาสตร์สุขภาพ เศรษฐศาสตร์มหภาค โดยได้เข้าไปมีบทบาทในด้านนโยบายเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการเป็นคณะกรรมการระดับชาติชุดสำคัญหลายชุด เช่น คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ กรรมการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.) ประธานกรรมการพิจารณาประโยชน์ของถนนรวมและการกระจายจราจรต่อระบบทางด่วนขั้นที่สอง เป็นต้น
ศ.อัมมาร ดำรงตำแหน่งประธานทีดีอาร์ไอ ระหว่างปี 2533-2538 และ 2550-2551 ก่อนหน้า ศ.อัมมาร เป็นอาจารย์และนักวิจัย ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนจะลาออกภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519