ออกแล้วเงินเยียวยา อพยพชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 10

ปภ. โอนเงินเยียวยาให้ประชาชน 3,667 ครัวเรือน จ.สระแก้ว และสุรินทร์ จากก่อนหน้านี้ ที่โอนแล้ว 9 ครั้ง ให้กับ 291,108 ครัวเรือน รวมเป็นเงินกว่า 1,299 ล้านบาท ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พบปัญหาการโอนไม่สำเร็จจากการไม่ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับบัตรประชาชน

การจ่ายเงินเยียวยากรณีประชาชนอพยพระหว่างเกิดสถานการณ์ภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจนถึงปัจจุบัน ได้โอนเงินช่วยเหลือแล้ว รวม 9 ครั้ง (วันที่ 6, 7, 8 ,9, 10, 17, 20, 22, 27 ต.ค. 68) ให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ตราด สระแก้ว อุบลราชธานี และจังหวัดจันทบุรี รวมโอนสำเร็จ 291,108 ครัวเรือน เป็นเงิน 1,299.903 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอโอน 3,667 ครัวเรือน


ล่าสุด วันที่ 31 ต.ค. 68 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และธนาคารออมสิน ทำการโอนเงิน ครั้งที่ 10 ให้แก่ประชาชน จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 3,667 ครัวเรือน และจากข้อมูลในระบบการติดตามการลงทะเบียน พบว่ามีประชาชนลงทะเบียนขอรับเงินช่วยเหลือทั้งสิ้น 325,347 ครัวเรือน ผ่านการประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) และส่งข้อมูลให้ ปภ. แล้ว จำนวน 296,574 ครัวเรือน โดย ปภ. ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินแล้วจำนวน 296,541 ครัวเรือน ซึ่งธนาคารออมสินโอนเงินให้ผู้ประสบภัยแล้ว 9 ครั้ง

ผูกบัญชี “พร้อมเพย์” เพื่อรับเงินเยียวยา

จากการตรวจสอบการโอนเงิน 9 รอบที่ผ่านมา พบว่ายังมีประชาชนกว่า 1,766 ครัวเรือน ที่การโอนเงินไม่สำเร็จ! สาเหตุหลักมาจาก

  1. ยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขบัตรประจำตัวประชาชน
  2. สถานะทางบัญชีไม่ปกติ

หากประชาชนยังไม่ได้รับ ขอให้หน่วยงานท้องถิ่น ได้กำชับไปยังจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับเงิน ดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชนกับธนาคารใดก็ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความขัดข้องในการโอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ประชาชนสามารถตรวจสอบสถานะรับเงินช่วยเหลือผ่านช่องทาง http://relief68.disaster.go.th/ Dashboard/BoardHelpRegister โดยระบุหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนในการตรวจสอบ เพื่อติดตามการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

การเยียวยาด้านการเงินตั้งแต่ครม. เห็นชอบหลักเกณฑ์และอัตราเงินเยียวยาสำหรับผู้ได้รับผลกระทบ
ก่อนหน้านี้ หลักเกณฑ์การเยียวยา: ครม. เห็นชอบหลักเกณฑ์และอัตราเงินเยียวยาสำหรับผู้ได้รับผลกระทบตั้งแต่ 16 ก.ค. 68

  • เจ้าหน้าที่รัฐ: เสียชีวิต/ทุพพลภาพ 10 ล้านบาท, บาดเจ็บสาหัส 1 ล้านบาท, บาดเจ็บมาก 5 แสนบาท
  • ประชาชน: เสียชีวิต/ทุพพลภาพ 8 ล้านบาท, บาดเจ็บสาหัส 8 แสนบาท, บาดเจ็บมาก 4 แสนบาท

การช่วยเหลือผู้ที่อพยพ: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้โอนเงินเยียวยาให้ผู้ประสบภัยแล้ว

  • ครัวเรือนที่อพยพ 8 วันขึ้นไป: ได้รับความช่วยเหลือ 5,000 บาท/ครัวเรือน
  • ครัวเรือนที่อพยพไม่เกิน 7 วัน: ได้รับความช่วยเหลือ 2,000 บาท/ครัวเรือน

การเยียวยาอื่น ๆ

  • ด้านที่อยู่อาศัย: มีเกณฑ์เยียวยาซ่อมสร้างบ้านที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะ
  • ด้านสุขภาพ : กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินมาตรการเชิงรุกในการดูแลรักษา ฟื้นฟูสุขภาพกายและใจของประชาชนในพื้นที่
  • ด้านเศรษฐกิจ : มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน
  • ด้านการสนับสนุน : การฟื้นฟูจิตใจ: รัฐบาลให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบ
  • การดูแลกลุ่มเปราะบาง: มีการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง
  • ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม
  • ความล่าช้า: มีรายงานว่าบางครอบครัวยังไม่ได้รับเงินเยียวยาตามที่รัฐบาลเคยรับปากไว้
  • ความต้องการ: มีเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าเงินเยียวยาบางส่วนอาจไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายจริง
  • ความเร่งด่วน: มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเปราะบางและผู้ได้รับผลกระทบให้ครอบคลุมและทั่วถึงมากขึ้น

มองสถานการณ์เศรษฐกิจที่กระทบกับปัญหาชายแดน

ก่อยหน้านี้ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมดทำให้มูลค่า การค้าชายแดนไทย-กัมพูชาหายไปราว 14,011 ล้านบาทต่อเดือน โดยมูลค่าการส่งออกชายแดนหายไป ราว 11,410 ล้านบาทต่อเดือน และมูลค่าการนำเข้าขายแดนหายไปราว 2,601 ล้านบาทต่อเดือน

สำหรับด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงมาก ได้แก่ ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยคาดว่าจะได้รับผลกระทบราว 8,663 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากด่านอรัญประเทศเป็นด่าน ขายแดนไทย-กัมพูชาที่สำคัญในการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมทั้งเป็นเส้นทางสัญจรที่สะดวกสำหรับนัก ท่องเที่ยว โดยในปี 2567 มูลค่าการค้าขายแดนไทย-กัมพูชาผ่านด่านอรัญประเทศอยู่ที่ 110,718 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง ถึง 63.4% ของมูลค่าการค้าขายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด ส่วนด่านการค้าชายแดน ไทย-กัมพูชาที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ ด่านคลองใหญ่ จ.ตราด และด่านจันทบุรี จ.จันทบุรี โดย คาดว่ามูลค่าการค้าชายแดนจะหายไปราว 2,457 และ 2,159 ล้านบาทต่อเดือนตามลำดับ

สถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาส่งผลกระทบ การค้าชายแดน การท่องเที่ยว และการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายอย่างน้อยราว 17,000 ล้านบาทต่อเดือน ดังนี้

1) การค้าชายแดน คาดว่า การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา 5 ผ่านสำคัญจะทำให้มูลค่าการค้าชายแดน ไทย-กัมพูชาหายไปราว 14,011 ล้านบาทต่อเดือน แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออกขายแดนและมูลค่าการนำเข้า ชายแดนหายไปราว 11,410 และ 2,601 ล้านบาทต่อเดือน ตามลำดับ โดยด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว คาดได้รับผลกระทบมากที่สุด สำหรับกลุ่มสินค้าส่งออกที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่ม ส่วน ประกอบรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์สันดาปภายใน ส่วนกลุ่มสินค้านำเข้า ได้แก่ ผักและของปรุงแต่งจาก ผัก โดยเฉพาะมันสำปะหลัง

2) การท่องเที่ยว ความเสียหายด้านการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวกัมพูชาที่เข้ามาในไทยที่ลดลงและจากนัก ท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่ไม่สามารถไปท่องเที่ยวใน 4 จังหวัดที่มีการปะทะคาดมีมูลค่าอย่างน้อยราว 2,970 ล้านบาทต่อเดือน

3) การลงทุน หากสถานการณ์ยกระดับความรุนแรงและขยายวงกว้างขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชา โดยในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 100 ราย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5 หมื่น ล้านบาท โดยธุรกิจที่ยางได้รับผลกระทบสูง เช่น ธุรกิจเครื่องดื่ม และค้าปลึก เป็นต้น

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active