เด็กในภาวะ ‘ภัยพิบัติ-สงคราม’ ต้องมี พื้นที่ปลอดภัย 1 ตร.ม. พร้อมกลไกฟื้นฟูใจหลังเผชิญวิกฤต 

ภาคประชาสังคม ภาคีหลายภาคส่วน เปิดพื้นที่แชร์แนวทางดูแลจิตใจเด็ก เยาวชนในภาวะภัยพิบัติ สงคราม ย้ำแนวทาง ‘4 ป’ ฟื้นใจเด็กผ่านพ้นวิกฤต พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ในอนาคต ชู พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก สร้างได้ด้วยครอบครัว ชุมชน คาดหวัง ภาครัฐจัดการรับมือเป็นระบบ ดูแลเด็กทันท่วงที ป้องกันการเกิดบาดแผลในใจ

เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 68 ในวงเสวนาออนไลน์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แนวทางการดูแลและฟื้นใจเด็กในภาวะภัยพิบัติ-สงคราม วรรณา จารุสมบูรณ์ ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่ม Peaceful Death กล่าวว่า การรวมตัวกันในครั้งนี้เพื่อช่วยเหลือ แบ่งบันข้อมูลเรื่องการดูแลเด็กในภาวะวิกฤต พร้อมเน้นย้ำถึงการร่วมกันเสนอสวัสดิการพื้นฐานไปถึงพรรคการเมืองต่าง ๆ กับการมีนโยบายเพิ่มพื้นที่สำหรับการส่งเสริมการอ่าน โดยจุดเริ่มต้นของการแลกเปลี่ยนในวันนี้มาจากหนังสือเรื่อง “ปลูกกล้ากลางไฟ”

สำหรับหนังสือ ปลูกกล้ากลางไฟ บอกเล่าถึงการสร้างพื้นที่พักใจให้กับเด็ก เยาวชนในภาวะวิกฤติและแนวทางการช่วยเหลือเด็กในภาวะน้ำท่วม สงคราม ผลงานของ นพ.เทอดพงศ์ ทองศรีราช ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รพ.รามาธิบดี ที่บอกว่า หนังสือเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากการปะทะกันระหว่างไทยกัมพูชา ครั้งแรกในวันที่  25 ก.ค.68 ทำให้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในพื้นที่ชายแดนทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน เสียงระเบิด หรือการย้ายที่พักพิงไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นชิน ไปจนถึงการเสียชีวิตในเด็ก ความรุนแรงเหล่านี้อาจถูกซึมซับในเด็ก และอาจส่งผลต่อพฤติกรรมในระยะยาว ประกอบกับสังคมไทยเองในขณะนั้นก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเด็กเท่าไรนัก ตนจึงคิดที่จะนำเอาองค์ความรู้ที่มีมาช่วยเด็กเหล่านี้ได้

เราให้เด็กวาดรูปคน กลายเป็นว่าเด็กวาดรูปคนถือปืน กลายเป็นว่าช่วงหนึ่งในชีวิต ได้รับรู้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นพฤติกรรมในอนาคตมากแค่ไหน เลยสำเร็จเป็น ปลูกกล้ากลางไฟเสียงปืนหรือสงคราม ไม่ว่ามันสั้นแค่ไหน แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นยาวนานเสมอ”

นพ.เทอดพงศ์ ทองศรีราช

แนวทาง ‘4 ป’ ดูแลเด็กในพื้นที่ประสบภัย

นพ.เทอดพงศ์ ยังเปิดเผยเนื้อหาภายในหนังสือ มีการพูดถึงสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลก และภาวะความเครียดในสมองของเด็กที่เป็นผลมาจากการดิ้นรนเอาตัวรอดส่งผลให้สมองเรียนรู้ได้ลำบาก ความเครียดที่สะสมอยู่ตลอดก็เปรียบเสมือนสมองมีไฟลุก อาจนำไปสู่ภาวะ PTSD  (Post-Traumatic Stress Disorder) ซึ่งภาวะเหล่านี้สามารถป้องกันหรือทำให้เกิดน้อยลงได้ด้วยหลัก 4 ป ประกอบด้วย 

  • ป 1 : ปลอดภัย

พื้นที่ต้องอยู่ให้อยู่ห่างไกลจากพื้นที่การปะทะ หรือน้อยที่สุด อย่างน้อยให้รู้สึกปลอดภัยในภาวะสงคราม และเด็กที่อาจออกห่างพ่อแม่ต้องมีผู้ใหญ่ที่สามารถรับมือได้

  • ป 2 : ปลอบขวัญ

เมื่อเสียขวัญจากความเปลี่ยนแปลง ต้องมีการยืนยันว่าเขาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ด้วยกิจกรรม เช่น การระบายสี อ่านนิทาน เป็นต้น โดยต้องดำเนินกิจกรรมโดยผู้ใหญ่หรืออาสาสมัครที่มีความพร้อม

  • ป 3 : ป้องกัน  psychosocial first aid and support

หลังเกิดเหตุการณ์ ผู้ช่วยเหลือต้องเล่นและพูดคุยกับเด็ก เพื่อสังเกตอาการ รับฟังและคัดกรองเด็กที่มีภาวะความเครียดหรือเด็กที่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเพื่อนำไปดูแลต่อให้เหมาะสม

  • ป 4 : เปิดบริการ specialist mental health services

เป็นขั้นตอนที่หน่วยสุขภาพจิต ทีมแพทย์ หรือวิชาชีพที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาให้บริการเพื่อหาแนวทางในการเยียวยารักษาต่อไป


“ผู้ที่สนใจสามารถนำ 4 ป นี้ไปปรับใช้ได้ โดยดูจากความสามารถของตัวเองว่าสามารถช่วยได้ ในกระบวนการ 4 ป นี้อย่างไรบ้าง เพื่อที่จะทำให้เด็กผ่านวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี พร้อมรับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้า โดยมีตัวอย่างจากพื้นที่ประสบภัยหลายพื้นที่ที่ได้นำไปปรับใช้ เช่น หาดใหญ่ ให้บริการดูแลในด้านการปลอบขวัญและเปิดบริการรับการดูแลเด็กที่มีภาวะความเครียด เป็นต้น”

นพ.เทอดพงศ์ ทองศรีราช

มองทางรอด สร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ สำหรับเด็ก 

นพ.เทอดพงศ์ ยังระบุถึงงานวิจัยระดับโลก WHO UNESCO ชี้ว่า การมีพื้นที่ปลอดภัยจะช่วยให้เด็กสามารถรอดพ้นจากวิกฤต โดยแนวทางช่วยเด็ก ต้องมีฐานทรัพยากรและโครงสร้างในชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยเหลือ ต้องมีส่วนร่วมของเด็ก ครอบครัว ชุมชน และครอบคลุม เนื่องด้วยชุมชนและครอบครัวมีความใกล้ตัวเด็กมากที่สุด ซึ่งหากรอการช่วยเหลือจากภายนอกอาจเข้าถึงได้ช้ากว่า

สำหรับขั้นตอนการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก (Child Friendly Space: CFS) นั้น ประกอบด้วย

  • เลือกพื้นที่ให้เหมาะสม 1 ตารางเมตรก็เพียงพอต่อการฟื้นฟูจิตใจ เลือกจุดที่เข้าถึงง่าย สอดคล้องกับกิจวัตรครอบครัว จัดให้มีบริการพื้นฐาน น้ำ ไฟ สุขา การเดินทางลงพื้นที่กับชุมชน ทำแผนที่ ปรึกษาหน่วยงานในพื้นที่

  • รูปแบบพื้นที่ยืดหยุ่น สามารถออกแบบตามเด็กและพื้นที่ได้ สถานที่อาจเป็นศาลาวัด โรงเรียน หอประชุม หรือเต็นท์ ที่มีอากาศถ่ายเท

  • มาตรฐานขั้นต่ำ ต้องปลอดภัย ต้องมีพื้นที่สันทนาการ อย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์ และออกแบบกิจกรรมครอบคลุมวัย เพศและความพิการ มีจุดบริการทางการแพทย์ การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน มีห้องน้ำเพียงพอและปลอดภัย
  • อุปกรณ์ที่แนะนำ ได้แก่ อุปกรณ์ศิลปะและนิทานปลอบประโลม

  • บุคคลกรและอาสาต้องผ่านการฝึกอบรบ ต้องมีการคัดเลือกและฝึกอบรมจรรยาบรรณสำหรับเจ้าหน้าที่ การอบรมการพูดของเจ้าหน้าที่และต้องมีการระบุผู้ใหญ่ปลอดภัยในพื้นที่ เพราะเสี่ยงต่อการซื้อขายเด็ก ดังนั้นต้องมีผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด

เนื้อหาในหนังสือยังมีข้อมูล ขั้นตอนการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กในศูนย์อพยพอย่างละเอียด ภายใน 1 วัน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากรต่อเด็ก พร้อมตัวอย่างกิจกรรมที่วางแผนให้อย่างละเอียด ปรับได้ตามความเหมาะสม โดยมีข้อควรระวัง คือ ของเล่นต้องไม่ควรเป็นปืนหรือรถถัง ควรเน้นเป็นสิ่งของที่ปลอบประโลม เช่น ตุ๊กตานุ่ม ๆ หรือหนังสือนิทาน

 ปลูกกล้ากลางไฟ สามารถดาวน์โหลดฟรีได้ที่ มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน Reading Culture Promotion Foundation

สำหรับหนังสือนิทานปลอบประโลมก็มีหลากหลายช่องทางให้เลือกติดตาม

นอกจากหนังสือแล้ว ภายในเว็บไซต์ยังมีเทคนิคการเลือกหนังสือนิทานและการออกเสียงสำหรับคุณครู อาสาสมัครผู้ที่สนใจได้นำไปปรับใช้กับเด็ก

แชร์ประสบการณ์ฟื้นใจเด็กในภาวะวิกฤตน้ำท่วม-ชายแดน  

ขณะที่ เจริญพงศ์ ชูเลิศ หรือ ครูยอด ผู้ก่อตั้งกลุ่มนิทานใบไม้ ศูนย์พักพิงศูนย์สมุนไพรอีสานใต้อภัยภูเบศร ต.สำโรง จ.สุรินทร์ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ทำงานด้านศิลปะมาตลอด ได้นำองค์ความรู้ของตนมาใช้ทำกิจกรรมกับเด็กในศูนย์พักพิง โดยการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ครั้งแรก ตนก็ตกเป็นผู้ประสบภัยด้วยเช่นเดียวกัน 

ครั้งนั้นได้เห็นถึงปัญหาเด็กที่ศูนย์อพยพจำนวนมากไร้กิจกรรม เมื่อตั้งตัวได้จึงทำการประสานงานไปยังเพื่อน และกลุ่มภาคีอื่น ๆ เพื่อระดมทรัพยากรอุปกรณ์ระบายสี จากนั้นจึงตระเวนไปทำกิจกรรมและมอบสิ่งของให้แก่ศูนย์พักพิงบริเวณโดยรอบ และเมื่อการปะทะครั้งที่ 2 เกิดขึ้น รอบนี้จึงตั้งหลักกันได้เร็ว โดยการประสานงานและแบ่งหน้าที่กัน ทำให้ครั้งนี้มีการทำกิจกรรมด้านดนตรีสำหรับกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มเข้ามาด้วย และกำลังสนใจที่จะทำละครหุ่นสะท้อนชีวิตในช่วงสงคราม เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามรายละเอียดการรับบริจาค เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบและสนับสนุนวัสดุ อุปกรณ์จัดกิจกรรมเยียวยาสำหรับเด็ก และผู้สูงอายุ จากการปะทะ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ติดตามรายละเอียดได้ ที่นี่

พญ.ภัทรภร คงอินทร์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ศูนย์พักพิง ม.อ.มีผู้ประสบภัยเด็กกว่าพันคน จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก ๆ โดยการสำรวจและนับจำนวนเด็กอย่างเป็นระบบ เขียนครอบครัวภายใต้ชื่อของเด็กเพื่อให้ระบุเด็กและผู้ปกครอง ป้องกันการเกิดการพลัดหลงหรือการถูกทอดทิ้ง การปล่อยปละละเลย และได้ขอพื้นที่ให้เด็กมีพื้นที่ปลอดภัย เป็นพื้นที่ให้เด็กและผู้ปกครองได้รับช่วยเหลือด้วย ถือเป็นการปฐมพยาบาลทางใจให้เด็กและผู้ปกครอง ผ่านการทำกิจกรรม ผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียดในเด็กและกลับมาอยู่ในภาวะปกติหรือสงบมากขึ้น

“อยากเห็นการทำงานที่เป็นระบบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต”

พญ.ภัทรภร คงอินทร์

สหวิชาชีพ

หลายศูนย์พักพิงฯ ยังขาดบุคลากรด้านเด็ก – เด็กโตยังขาดผู้ดูแลทางใจ

วลัยพร วังคะฮาต อาสาสมัครบ้านกรุณา จังหวัดอุบลราชธานี บอกว่า จากการลงพื้นที่ทำกิจกรรม สามารถเข้าไปช่วยเหลือเป็นระยะเท่านั้น หลายศูนย์พักพิงฯ ยังขาดความต่อเนื่องของการทำกิจกรรมสำหรับเด็กและขาดแคลนบุคลากร ที่ทำหน้าที่ส่วนนี้โดยตรง

ขณะที่ จันทิมา จันทร์แก้ว ครูดูแลเด็กมัธยมในพื้นที่หาดใหญ่ เปิดเผยว่า เด็กวัยรุ่นที่ประสบภัยต่างมีผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ความรู้เรื่องแนวทางการดูแลเด็กวัยรุ่นหลังภาวะประสบภัยแก่ครู และช่วยคัดกรองเด็กที่อาจมีภาวะทางจิตใจให้ได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ที่เชี่ยวชาญ

ทั้งนี้แม้แนวทางการช่วยเหลือเด็กยังดำเนินต่อไป โดยหลาย ๆ ภาคส่วน แต่เสียงสะท้อนจากการการเสวนาครั้งนี้ ก็ยังเห็นคาดหวังที่จะเห็นการจัดการรับมืออย่างเป็นระบบจากทางภาครัฐ เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญในการดูแลเด็กอย่างทันท่วงที ป้องกันการเกิดบาดแผลทางจิตใจ และช่วยส่งเสริมการเติบโตให้ผ่านไปด้วยดีท่ามกลางสภาวะวิกฤต สร้างภูมิคุ้มกันพร้อมรับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active