‘เครือข่ายอากาศสะอาด’ สวน กกร. หลังแสดงความกังวล และไม่เห็นด้วยต่อ ร่าง กม.อากาศสะอาด-แรงงาน-โรงงาน ถามกลับ ปกป้องใคร ? เศรษฐกิจไทย หรือ คนปล่อยมลพิษโดยไม่ต้องรับผิดชอบ ย้ำ อากาศสะอาด ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย แต่คือ สิทธิขั้นพื้นฐาน
วันนี้ (6 พ.ย. 68) สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาด ในฐานะตัวแทนภาคประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … (ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด) ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภา โดยได้ออกมาโต้แย้ง ภาคเอกชนหลังออกแถลงการณ์ ไม่เห็นด้วยและแสดงความกังวล ต่อร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด, ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน และ ร่าง พ.ร.บ.โรงงาน ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
ทั้งนี้จากกรณีที่ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย ออกแถลงการณ์ ไม่เห็นด้วยและมีความกังวลกับร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment: RIA) อย่างรอบด้านและเป็นระบบ

โดยเฉพาะ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน, ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด และ ร่าง พ.ร.บ.โรงงาน ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยให้เหตุผลว่า จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากข้อกำหนดทางกฎหมายใหม่
นอกจากนี้ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และลดความน่าสนใจของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่ จึงเห็นว่าการจัดทำกฎหมายที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้างต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง พร้อมจัดทำการประเมินผลกระทบกฎหมาย (RIA) ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้กฎหมายมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองและการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ปกป้องเศรษฐกิจไทย หรือ คนปล่อยมลพิษ ?
หลังมีแถลงการณ์ดังกล่าว สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาด ออกชี้แจง พร้อมตั้งคำถามกลับว่า จริงหรือที่ พ.ร.บ.อากาศสะอาด จะทำให้เศรษฐกิจไทยพัง โดยระบุว่า ช่วงนี้ได้ยินคำพูดประมาณว่า “SMEs จะรับต้นทุนไม่ไหว”, “เกษตรกรจะเดือดร้อน”, “นักลงทุนจะหนีหมด ประเทศพังแน่นอน” แต่คำถามคือ ใคร ? เดือดร้อนกันแน่
เพราะหากดูให้ดี หลายครั้ง รายเล็ก ถูกหยิบขึ้นมาใช้เป็น โล่เพื่อรักษาสถานการณ์เดิมของ ทุนใหญ่ ที่สร้างมลพิษหนักสุด เหมือนจับตัวเล็กไว้เป็นตัวประกันทางวาทกรรม ทั้งที่ผู้ได้รับผลกระทบจริงจากอากาศพิษก็คือคนตัวเล็ก คนหาเช้ากินค่ำ ชุมชน เกษตรกร และ SMEs เหมือนกัน
หลายประเทศเข้มอากาศสะอาด ชู ‘เศรษฐกิจสีเขียว’
พร้อมชวนคิดตามว่า ถ้า พ.ร.บ.อากาศสะอาด ทำลายเศรษฐกิจจริง ประเทศที่มีมาตรฐานอากาศเข้ม อย่าง ญี่ปุ่น, เกาหลี, ไต้หวัน, เยอรมนี, อังกฤษ, แคนาดา คงล้มละลายกันไปหมดแล้ว แต่ความจริงคือ เขาแข่งกันลงทุนใน เศรษฐกิจสีเขียว เพราะรู้ว่าอนาคตของเศรษฐกิจโลก เท่ากับ คุณภาพสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ การลดมาตรฐานลง
ขณะที่กฎหมายอากาศสะอาด ภาคธุรกิจ SMEs จะได้รับ ทั้ง เทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ เงินทุนสนับสนุนปรับเปลี่ยนเครื่องมือ การออกแบบกฎหมายที่ ป้องกันมลพิษตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่ผลักภาระไปให้คนปลายทางต้องสูดควันทุกวัน
รวมถึงการทำให้ประเทศมีอากาศสะอาด ไม่ได้เป็น ภาระต้นทุน แต่เป็น การป้องกันต้นทุนรักษาพยาบาลมหาศาลในอนาคต ซึ่งวันนี้คนตัวเล็กต้องจ่ายอยู่แล้วโดยไม่ได้เลือก
คำถามสำคัญ คือ ภาคธุรกิจกำลังปกป้องเศรษฐกิจไทย หรือกำลังปกป้อง คนที่ปล่อยมลพิษโดยไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะ ความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศในยุคนี้ ไม่ได้วัดจากการทำให้ถูกที่สุด แต่จากการทำให้ คุณภาพดี สุขภาพดี และยั่งยืน
“อากาศสะอาดไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย แต่คือ สิทธิขั้นพื้นฐาน และเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจแห่งอนาคต เรากำลังพูดถึง ประเทศที่น่าอยู่ขึ้น ไม่ใช่ประเทศที่แพงขึ้น”
