ผู้ค้าช่องจอมยอดขายร่วงหนัก – ชาวบ้านอพยพนาน สูญรายได้ ร้องเยียวยารายบุคคล

ผู้ค้าชายแดน จ.สุรินทร์ เน้นประคองกิจการ ท่ามกลางยอดขายหายเกือบหมด ขณะที่ชาวน้ำยืน จ.อุบลฯ กลับบ้านหลังอพยพ 10 วัน พืชผลเสียหาย รายได้สะดุด แรงงานรายวัน–เกษตรกรกระทบหนัก หนี้และค่าใช้จ่ายยังเดินต่อ เรียกร้องรัฐปรับเยียวยาเป็นรายบุคคล ฟื้นกำลังซื้อ–ชีวิตชายแดน

The Active ลงพื้นที่สำรวจผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่าทั้งผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งด้านเศรษฐกิจ และการดำรงชีวิต หลังเกิดเหตุปะทะครั้งที่สองในรอบปี ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ครั้งใหญ่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ด่านช่องจอมเงียบเหงา ยอดขายร่วง

โดยบรรยากาศบริเวณ ด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ พบว่า ปัจจุบันร้านค้าส่วนใหญ่ปิดเงียบต่อเนื่องมานานหลายสัปดาห์ รมิดากาญจน์ แสนเกล้า ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่ง บริษัท โชคเพิ่มพูน เอ็กซ์ปอร์ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด เผยว่า ยอดขายร่วงลงเหลือเพียง 10% จากช่วงปกติ โดยธุรกิจค้าส่งที่พึ่งพาลูกค้าจากฝั่งกัมพูชาได้รับผลกระทบหนักที่สุด

“ตอนนี้ไม่คิดแล้วว่าวันหนึ่งจะกำไรหรือไม่ สิ่งที่คิดมีแค่ว่าจะขาดทุนเท่าไหร่ และจะประคองร้านให้อยู่ต่อไปได้อย่างไร โดยปัจจุบันต้องควักเงินส่วนตัวออกมาจ่ายค่าแรงให้ลูกจ้างราว 7-8 คน เพื่อรักษาการจ้างงาน แม้จะไม่มีรายได้เพิ่มเติมเหมือนแต่ก่อน”

รมิดากาญจน์ แสนเกล้า

ผู้ประกอบการรายนี้ยอมรับตรงไปตรงมาว่าไม่ได้คาดหวังการช่วยเหลือจากรัฐ เพราะเข้าใจว่ารัฐบาลมีภาระดูแลหลายพื้นที่พร้อมกัน “ส่วนเราแค่คิดว่าจะช่วยตัวเองอย่างไร ไม่เคยหวังพึ่งรัฐบาล” อย่างไรก็ตาม เธอเห็นว่าหากรัฐมีมาตรการเยียวยาประชาชนโดยตรง เช่น เงินช่วยเหลือรายบุคคล จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในพื้นที่และส่งผลดีต่อร้านค้าทางอ้อม

ชาวน้ำยืนกลับบ้านหลังอพยพ 10 วัน พืชผลเสียหาย สูญรายได้

ส่วนที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ชาวบ้านเพิ่งทยอยกลับเข้าบ้านหลังอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงนานกว่า 10 วัน และเผชิญกับปัญหาหลายด้าน ทั้งพืชผลเสียหาย รายได้ขาดหาย และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าว่า ก่อนอพยพได้ลงทุนทำสวน ปลูกพริก และเตรียมแปลงเพาะปลูกไว้แล้ว แต่ต้องทิ้งทั้งหมดไปอยู่ศูนย์พักพิง ทำให้พืชที่กำลังจะให้ผลผลิตเสียหายหมด ขณะที่อีกครอบครัวสะท้อนปัญหามันสำปะหลังที่เตรียมจะเก็บเกี่ยวเน่าเสียไม่สามารถนำไปจำหน่ายได้

สำหรับผู้ประกอบอาชีพค้าขายรายวัน เช่น แม่ค้าขายอาหารตามสั่ง และขายของเร่ ระบุว่า การอพยพทำให้ไม่มีรายได้เลย แม้กลับเข้าพื้นที่แล้วแต่กำลังซื้อของประชาชนยังลดลง ทำให้การค้าขายยังไม่ฟื้นตัว

เรียกร้องเปลี่ยนรูปแบบเยียวยาเป็น “รายบุคคล”

ชาวบ้านหลายครอบครัว ชี้ว่า เงินเยียวยาครัวเรือนละ 5,000 บาทจากการปะทะครั้งก่อนเมื่อเดือนกรกฎาคมไม่เพียงพอ โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีสมาชิกมากกว่า 10 คน ซึ่งเฉลี่ยแล้วตกคนละไม่ถึงพันบาท

ชาวบ้านยังยกตัวอย่างว่า แค่อยู่ศูนย์พักพิง 2 มื้อก็ใช้เงินไปเกือบ 2,000 บาทแล้ว เพราะต้องซื้ออาหารให้ลูกหลานหลายคน ขณะที่รายได้ขาดไปทั้งหมด จึงเสนอให้รัฐบาลทบทวนรูปแบบการเยียวยาจากรายครัวเรือนมาเป็น “รายบุคคล” เพราะหลายบ้านมีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ร่วมกัน

นอกจากนี้ ชาวบ้านยังอยากให้รัฐพิจารณามาตรการทางการเงินเพิ่มเติม เช่น การพักชำระหนี้ หรือเปิดโอกาสให้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อฟื้นฟูอาชีพหลังกลับสู่พื้นที่ พร้อมย้ำว่าต้องการความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและทันเวลา เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active