กรีนพีซ–บูรณะนิเวศ ร้องอาเซียนกำหนดกรอบสิทธิสิ่งแวดล้อมอาเซียน ที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย สร้างกลไกความรับผิดชอบระดับภูมิภาค เพื่อรับมือมลพิษข้ามพรมแดน ให้ ‘ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย’ ก่อนนายกเตรียมประชุมสุดยอดอาเซียน 26 – 27 พ.ค. นี้
ก่อนการประชุมภาคประชาสังคมคู่ขนานกับการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Peoples’ Forum) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24–25 พฤษภาคมนี้ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย กลุ่มองค์กรสิ่งแวดล้อมนำโดยกรีนพีซ ประเทศไทย และมูลนิธิบูรณะนิเวศ เรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนเร่งผลักดัน “กรอบสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน” (ASEAN Environmental Rights Framework – AER Framework) ที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อจัดการวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนและปกป้องสิทธิของประชาชนในภูมิภาค
องค์กรภาคประชาสังคมยกกรณีเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งตั้งห่างจากชายแดนไทยไม่ถึง 20 กิโลเมตร ว่าเป็นตัวอย่างของการไร้กลไกตรวจสอบและป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในไทย โดยพบว่าสารพิษจากเหมืองอาจไหลลงสู่แม่น้ำกก ส่งผลต่อชุมชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ รวมถึงเสี่ยงปนเปื้อนในลุ่มน้ำโขงในระยะยาว

ขณะที่ กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนระวังการใช้น้ำที่อาจปนเปื้อนสารหนูจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง โดยขอให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเหล่านี้เพื่อการอุปโภคบริโภคโดยตรง พร้อมแนะนำให้ติดตามข้อมูลจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ระคายเคืองผิวหนัง อาการชาตามปลายมือปลายเท้า หรือท้องเสีย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการได้รับพิษจากสารหนู
นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สารหนูสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ทั้งจากการดื่มน้ำ การบริโภคอาหารปนเปื้อน หรือแม้แต่การสัมผัสน้ำเป็นเวลานาน โดยสารหนูในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันถึงขั้นเสียชีวิต ขณะที่การสะสมในร่างกายในระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ สำหรับนักท่องเที่ยวยังสามารถทำกิจกรรมทางน้ำได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแหล่งน้ำดังกล่าวมาบริโภคหรือปรุงอาหาร
ร้องนายกฯ นำอาเซียน ร่วมแก้ปัญหามลพิษข้ามแดนใช้กฎหมายความรับผิดด้านสิทธิมนุษยชน
ในขณะเดียวกัน อีกปัญหาที่เรื้อรังมาเป็นระยะเวลานานคือฝุ่นพิษข้ามพรมแดน (Transboundary Haze Pollution) ที่เกิดจากการเผาป่าเพื่อทำการเกษตรแบบอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ข้าวโพด อ้อย และปาล์มน้ำมัน ซึ่งสร้างวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ซ้ำซากในภาคเหนือ และภาคใต้ของไทยทุกปี กระทบสุขภาพประชาชนและภาคการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง
รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ นักรณรงค์ด้านอาหารและป่าไม้ กรีนพีซ ประเทศไทย เป็นหนึ่งในตัวแทนจากประเทศไทยเข้าร่วมพูดในเวทีคู่ขนานของภาคประชาสังคม (ASEAN Peoples’ Forum) ระบุว่า วันนี้อาเซียนไม่สามารถเพิกเฉยต่อเสียงของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดนได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นพิษจากการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน หรือน้ำปนเปื้อนสารเคมีจากเหมืองในรัฐฉานที่ไหลลงแม่น้ำกกในไทย เราเห็นชัดว่า เส้นเขตแดนทางภูมิศาสตร์ไม่อาจหยุดยั้งมลพิษที่ส่งตรงถึงปอดและแหล่งน้ำของผู้คน
“ถึงเวลาแล้วที่อาเซียนต้องยึดหลัก ‘ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย’ ในการกำหนดภาระรับผิดของการประกอบธุรกิจและผลกระทบข้ามพรมแดน เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบ และผลักดันให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกันต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคของเรา”
รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์

ด้าน เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เผยว่าภูมิภาคอาเซียนกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการพัฒนาอุตสาหกรรม การเสริมสร้างระบบที่โปร่งใสในการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษและสารพิษ ตลอดจนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน จึงเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายที่ยึดหลักความยุติธรรมและยั่งยืน ความร่วมมือระดับภูมิภาคในด้านสิ่งแวดล้อมควรคำนึงถึงผลกระทบที่แท้จริงต่อชีวิตผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่แนวหน้าในการรับความเสี่ยง โดยมีข้อสรุปข้อเสนอเชิงนโยบายระดับภูมิภาคต่อผู้นำอาเซียน ดังนี้
- ตรวจสอบธุรกิจข้ามแดนให้เข้มงวด – ควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมจากธุรกิจในภูมิภาค โดยกำหนดความรับผิดชอบชัดเจน
- ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน – บังคับใช้ SEA และ TEIA พร้อมให้อำนาจรัฐควบคุมบริษัทแม่ในประเทศตน
- ส่งเสริมสิทธิในการรับรู้ข้อมูล – ยึดหลัก ASEAN Protocol on the Right to Know ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วม
- คุ้มครองกลุ่มเปราะบางและชนเผ่าพื้นเมือง – ส่งเสริมบทบาทในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมและรักษาความมั่นคงทางสังคม
- จัดตั้งกรอบสิทธิสิ่งแวดล้อมอาเซียน (AER) – ผลักดันกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่มีผลผูกพันทางกฎหมายและความร่วมมือกับจีน
นายกฯ เยือนมาเลเซียวันนี้ ประชุมสุดยอดอาเซียน
ตามกำหนดการ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดออกเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 46 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2568 เวลา 18.30 น. โดยจะเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร บน.6 และถึงมาเลเซียในเวลา 21.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อเตรียมเข้าร่วมการประชุมอย่างเป็นทางการในวันที่ 26-27 พฤษภาคม
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง และความยั่งยืน” ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญในการกำหนดทิศทางของประชาคมอาเซียนปี 2568 และในระยะยาว โดยนายกรัฐมนตรีไทยจะร่วมประชุมในกรอบอาเซียน 7 รายการ รวมถึงการประชุมระดับผู้นำ IMT-GT
นอกจากการหารือกับผู้นำอาเซียนแล้ว นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีลงนาม ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ ว่าด้วย “อาเซียน 2045: อนาคตร่วมกันของเรา” ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญต่อการกำหนดวิสัยทัศน์ของอาเซียนในอีก 20 ปีข้างหน้า และเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในค่ำวันที่ 26 พฤษภาคม