สถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดผลวิจัย พบปัญหา ต้นทุนสูง โครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อมรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เสนอแผนเปลี่ยนผ่าน 3 มิติ พร้อมโมเดลธุรกิจ “เช่าแบตเตอรี่แบบครบชุด”
สถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผลการวิจัยล่าสุด พบว่า กรุงเทพมหานคร มีวินมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ขึ้นทะเบียนใช้งานจริงไม่ถึงหนึ่งร้อยคัน ทั้งที่มีวินมอเตอร์ไซค์ในพื้นที่เมืองกว่า 60,000 คัน สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านสู่การขนส่งสะอาด ส่งผลต่อปัญหามลพิษทางอากาศที่ยังคงรุนแรง นำมาสู่ข้อเสนอแนะ มาตรการแก้ปัญหาเร่งด่วน 3 มิติ
ผลการวิจัยดังกล่าวถูกนำเสนอในงานเสวนาออนไลน์ “Moving Cities: Conversation on Mobility Transitions in Thailand” หัวข้อ “From Gasoline to Green: Enabling Electric Motorcycle Taxis in Bangkok” โดยมี อรณิชา อนุชิตชาญชัย นักวิจัยชำนาญการ สถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้นำเสนอเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา
ไทยใช้มอเตอร์ไซค์เยอะที่สุดในอาเซียน แต่ติดกับเชื้อเพลิงฟอสซิล
ตามข้อมูลของ ASEANStatsDataPortal ปี 2566 ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการใช้มอเตอร์ไซค์สูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีจำนวนรถจักรยานยนต์ 317 คันต่อประชากร 1,000 คน สูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคเกือบ 3 เท่า
กลับกัน เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีไฟฟ้า โดยเฉพาะกรณีของผู้ประกอบอาชีพวินมอเตอร์ไซค์ พบว่ายังมีข้อจำกัดอยู่หลายส่วน ที่ทำให้ปัจจุบันมีวินมอเตอร์ไซค์ที่ขึ้นทะเบียนใช้รถไฟฟ้าเพียง 0.16% จากผู้ทำอาชีพขับวินทั้งหมด
ต้นทุนสูง โครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อมรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
การศึกษาระบุปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่วินมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก คือ ปัจจัยเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ กล่าวคือ ราคามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่สูงและค่าบำรุงรักษาที่เกินกำลัง ทำให้ผู้ประกอบอาชีพวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบที่มีรายได้ไม่แน่นอน ไม่สามารถเข้าถึงรถไฟฟ้าได้ หรือมีเพียงกลุ่มผู้ขับที่มีรายได้สูง ก็จะมีโอกาสเปลี่ยนมาใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามากกว่า
ถัดมา คือ ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เพราะขาดความมั่นใจในสถานีสลับแบตเตอรี่และจุดชาร์จไฟ ซึ่งเกิดจากวงจรปัญหาที่ผู้ให้บริการไม่กล้าลงทุนเนื่องจากผู้ใช้งานน้อย ขณะเดียวกันผู้ใช้ไม่กล้าเปลี่ยนมาใช้เพราะสถานีบริการไม่เพียงพอ
และ ปัจจัยกฎหมายและนโยบาย กฎระเบียบที่ยังไม่ครอบคลุม อย่างข้อจำกัดที่ไม่อนุญาตให้รถเช่าขึ้นทะเบียนเป็นวินมอเตอร์ไซค์ ส่งผลให้ทางเลือกของผู้ขับจำกัด
เสนอแผนเปลี่ยนผ่าน 3 มิติ พร้อมโมเดลธุรกิจใหม่
การวิจัยเสนอมาตรการเร่งด่วนในการส่งเสริมการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 3 มิติ เพื่อตอบโจทย์ประเด็นปัญหาข้างต้น
- ด้านการเงิน: เพิ่มแรงจูงใจทางการเงินให้กับวินมอเตอร์ไซค์สันดาบ โดยอาจจะเพิ่มเงินอุดหนุน แรงจูงใจทางภาษี สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน หรือจัดที่จอดฟรีสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
- ด้านโครงสร้างพื้นฐาน: เร่งติดตั้งสถานีชาร์จในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อลดต้นทุนการใช้งานระยะยาว
- ด้านนโยบายเฉพาะกลุ่ม: จัดทำมาตรการสำหรับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ผู้ขับผ่านแอปพลิเคชัน และผู้ใช้ทั่วไป เพื่อให้ทุกกลุ่มเข้าถึงเทคโนโลยีรถไฟฟ้าได้อย่างเท่าเทียม รวมถึงปรับเปลี่ยนกฎหมายให้รองรับการใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามากขึ้น
นอกจากนี้ อรณิชา ยังนำเสนอ “โมเดลเช่าแบตเตอรี่แบบครบชุด” (Full Battery Leasing Model) ที่ช่วยให้ผู้ขับไม่ต้องลงทุนซื้อรถและแบตเตอรี่เอง แต่เช่าใช้งานเป็นรายเดือนหรือรายปี เพื่อลดภาระต้นทุนในการเปลี่ยนผ่านเป็นรถไฟฟ้า และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่าย
โดยมองว่า โมเดลเช่าแบตเตอรี่นี้ถือเป็นแนวทางที่ควรเริ่มทำการทดลองและพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้ในการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่วินมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในกรุงเทพฯ แม้ว่าเมืองจะยังมีข้อจำกัดด้านความรู้สึกขาดความเป็นเจ้าของ หรือข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานของสถานีสลับแบตเตอรี่ที่ยังไม่ครอบคลุมก็ตาม
เร่งสร้างความเป็นธรรมในการเปลี่ยนผ่าน
“หากต้องการให้การเปลี่ยนผ่านสู่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม ต้องมีการประสานมาตรการด้านนโยบาย การเงิน และโครงสร้างพื้นฐานควบคู่กัน เพื่อให้เมืองสามารถลดมลพิษและส่งเสริมการเดินทางอย่างยั่งยืน” อรณิชา สรุป
การวิจัยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างสถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่ยั่งยืนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
การนำเสนอครั้งนี้ เป็นการควบรวมผลการศึกษาจาก 2 ประเด็น ทั้งด้านความพึงพอใจจากฝั่งผู้ประกอบอาชีพวินมอเตอร์ไซค์ และข้อจำกัดการเปลี่ยนผ่านสู่รถไฟฟ้าจากฝั่งนโยบาย