Green Active: โลกร้อง เรารีแอก จำลองร้านขายของชำ ชวนคนกรุงเข้าใจต้นตอ-ผลกระทบโลกร้อน

นิทรรศการสื่อสารโลกร้อน สู่การลงมือทำ ครั้งแรกในกรุงเทพฯและอาเซียน ชี้กรุงเทพฯ เสี่ยงเผชิญภัยพิบัติรอบด้าน หวังปลุกคนกรุงร่วมแก้ ไม่มองว่าภาครัฐหรือนโยบายจะเป็นคำตอบเดียว ขณะที่ ม.กรุงเทพใช้เมืองจำลองเชื่อมต่อ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ให้คนเห็นผลกระทบโลกร้อนจริง

วันนี้ (28 ก.ย. 68) The Active – Thai PBS จัดกิจกรรม  “Green Active: โลกร้อง เรารีแอก” ส่วนหนึ่งของ “Bangkok Climate Action Week” ซึ่งเป็นครั้งแรกในกรุงเทพ ระหว่างวันที่ 28 ก.ย. – 4 ต.ค. 2568 นับเป็นความเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศครั้งสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการรวมพลังจาก 23 เครือข่ายภาคประชาสังคม องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม และสื่อมวลชน เพื่อขับเคลื่อนการลงมือทำแก้ปัญหาโลกร้อน

อนวัช มีเพียร Transmedia Journalist TheActive ผู้ซึ่งมุ่งใช้การสื่อสารสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ผ่านนิทรรศการ “Climate Action” ที่ The Active – Thai PBS เป็นเจ้าภาพ เปิดเผยว่างานครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อ

“ต่อยอดจากข้อมูลสื่อสารเรื่องโลกร้อนที่มีอยู่แล้ว สู่การลงมือทำจริง” ไม่ใช่เพียงบอกเล่าถึงปัญหา แต่ชวนประชาชนตั้งคำถามว่า เราจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหานี้ได้บ้าง

การจัดงานมีทั้งความร่วมมือจาก กรุงเทพมหานคร สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยและเครือข่ายสื่อสารภายในอย่าง The Active และวิภา สร้างนิทรรศการที่ใช้รูปแบบ EMIV (Experience Media Immersive Visualization) หรือสื่อประสบการณ์เชิงโต้ตอบ (Interactive Experience) เพื่อทำให้ผู้เข้าชมไม่เพียงรับรู้ แต่ได้ “ทดลอง” และ “มีส่วนร่วม” กับวิธีแก้ปัญหาโลกร้อน

หนึ่งในไฮไลท์คือ การจำลองร้านขายของชำ ขึ้นมาเป็นบูธกิจกรรม เพื่ออธิบายให้ประชาชนเห็นความเชื่อมโยงระหว่างสินค้าในชีวิตประจำวันกับปัญหาสภาวะโลกรวนและโลกร้อน ทำให้ประเด็นที่ดูเหมือนไกลตัวอย่าง “Climate Change” กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจและเห็นว่าตนเองสามารถลงมือทำได้จริง “หลายคนรู้ว่าโลกกำลังเผชิญวิกฤติ แต่ยังไม่รู้ว่าจะมีส่วนร่วมแก้ปัญหาได้อย่างไร วันนี้เราจึงนำข้อมูลและงานวิจัยที่มีอยู่แล้ว มาจัดแสดงให้เข้าถึงง่ายขึ้น ผ่านรูปแบบร้านสะดวกซื้อที่ทุกคนคุ้นเคย

ภายในบูธ “Greencery” ผู้จัดนำเสนอสินค้าคุ้นตา เช่น น้ำกะทิ น้ำปลา หรือน้ำดื่ม เพื่ออธิบายวงจรการผลิต ตั้งแต่เกษตรกรรม พลังงาน การขนส่ง จนถึงอุตสาหกรรมแปรรูป ว่าล้วนมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก “แค่น้ำกะทิ 1 กระป๋อง หรือขวดน้ำปลา 1 ขวด กว่าจะมาถึงมือผู้บริโภค ต้องผ่านขั้นตอนที่สร้างมลพิษจำนวนมาก” อนวัชอธิบาย

ข้อมูลจากปี 2022 ชี้ว่า ภาคพลังงานเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดในประเทศไทย คิดเป็นกว่าครึ่งของปริมาณทั้งหมด หรือราว 386 ล้านตันคาร์บอน ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มอุณหภูมิผิวโลก และทำให้กรุงเทพฯ เผชิญสภาพอากาศที่ร้อนจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ เสี่ยงเผชิญภัยพิบัติรอบด้าน

นิทรรศการยังจัดแสดงข้อมูลเปรียบเทียบอุณหภูมิกรุงเทพฯ ระหว่างปี 1991 – 2016 ที่แสดงให้เห็นว่าเมืองหลวงเปลี่ยนจากโทน “สีน้ำเงิน” สู่ “สีแดงเข้ม” สะท้อนอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งไม่เพียงทำให้ “ร้อน” แต่ยังนำไปสู่ภัยพิบัติหลากหลาย ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ น้ำเค็มรุกชายฝั่ง ไปจนถึงปัญหาสุขภาพ เช่น ฮีทสโตรก

“กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งจากน้ำทะเลหนุน และภัยพิบัติซ้ำซ้อน คาดว่าภายในปี 2050 อาจมีประชาชนกว่า 6 ล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม โดยผลกระทบดังกล่าวไม่ใช่เพียงต้นทุนของรัฐ แต่ทุกคนต้องร่วมแบกรับ” อนวัชระบุ 

โซนถัดมาของนิทรรศการนำเสนอแนวทาง “การลงมือทำ” 3 ระดับ ได้แก่

1. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น แยกขยะ ลดการใช้น้ำมัน เลือกซื้อสินค้าอย่างรับผิดชอบ

2. การปรับตัว เพื่อรับมือภัยพิบัติ เช่น การจัดการน้ำในพื้นที่ การสร้างพื้นที่สีเขียว และการอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางชีวภาพ

3. การเพิ่มศักยภาพ ผ่านการสนับสนุนทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งจากชุมชน ธุรกิจ และภาครัฐ

“เราอยากให้ทุกคนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่บ้านก็ช่วยโลกได้ ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม” อนวัชกล่าว

ห้อง Immersive visual จำลองอนาคตกรุงเทพฯ

อีกหนึ่งในไฮไลท์ของงาน คือห้อง Immersive ที่จำลองภาพกรุงเทพฯ ในสภาพอากาศอนาคต ขึ้นอยู่กับการ “ลงมือทำ” ของผู้เข้าชม ว่าจะช่วยลดคาร์บอนได้มากน้อยแค่ไหน ภาพและบรรยากาศในห้องจะเปลี่ยนไปตามการมีส่วนร่วมของผู้ชม 

ชัดชม เชษฐ์คุณ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ สาขาการผลิตเนื้อหาสร้างสรรค์และประสบการณ์ดิจิทัล (CDE) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ บอกว่าเราอยากสื่อสารด้วย visual ให้ผู้เข้าชมเห็นว่า carbon footprint เกิดขึ้นจริงและส่งผลกับเมืองและชีวิตประจำวันของเราแค่ไหน จึงได้พูดคุยกับทีมนักศึกษาโครงการ CD Space ว่าอยากทำให้คนเข้าถึงเมืองที่ตัวเองอยู่ ผ่านการจำลองเมืองเสมือนในพื้นที่จัดงาน โดยทุกการกระทำของผู้เข้าร่วมจะสะท้อนออกมาเป็นภาพ เช่น การช้อปปิ้งในแอปพลิเคชัน จะไปเพิ่มคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลใน immersive experience ของงาน

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า เมืองจำลองในงานจะเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น เช่น เริ่มแรกอาจเห็นภาพเมืองสดใส แต่เมื่อคาร์บอนสูงขึ้นจะเริ่มเห็นฝุ่น PM2.5 อาคารและบ้านเรือนหม่นหมองลง เมืองเริ่มสกปรกมากขึ้น 

ยกตัวอย่างว่า หากมีผู้เข้าชมจำนวนมากในเวลาเดียวกัน เช่น 50 คน เมืองเสมือนอาจกลายเป็นภาพที่มีฝุ่นหนาทันที ซึ่งเป็นการสื่อสารตรงไปตรงมาให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้ว่า ทุกการกระทำเล็กๆ ของเราส่งผลต่อมลภาวะทั้งหมด

“เราอยากให้ผู้เข้ามาได้ทั้งประสบการณ์และความรู้ ว่าทุกกิจกรรมที่ทำ แค่การเลือกซื้อสินค้า มีส่วนสร้างคาร์บอนที่ส่งผลกับสิ่งแวดล้อม” 

เมื่อถามถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่ทำให้ตระหนักถึงภาวะโลกร้อน ชัดชมเล่าว่า สิ่งที่เห็นชัดคือ “ฝุ่น” และ “อากาศที่เปลี่ยนไป” ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ประเทศไทยไม่ร้อนเท่านี้ เช้าตรู่ยังเห็นหมอกแถววิภาวดีหรือรามอินทรา แต่ปัจจุบันหมอกหายไปแล้ว กลายเป็นฝุ่นควันและ PM2.5 แทน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีแรงบันดาลใจอยากทำงานนี้ขึ้นมา 

หวังปลุกประชาชนลงมือแก้โลกร้อน ไม่รอนโยบายรัฐ

อนวัช กล่าวเพิ่มเติมาว่า ประเด็นหลักของงาน คือการเพิ่มอำนาจให้กับประชาชน ไม่ใช่มองว่าภาครัฐหรือนโยบายจะเป็นคำตอบเพียงอย่างเดียว แต่คนทั่วไปสามารถลงมือทำได้ ทั้งการลดการใช้พลังงาน การคัดเลือกสินค้า การเรียกร้องเชิงสังคม หรือแม้แต่การเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติม” อนวัชกล่าว

เขายังมองว่าการจัดงานปีนี้ จะสะท้อนให้เห็นถึง “พลังของคนกรุงเทพฯ” ว่ามีความพร้อมแค่ไหนในการร่วมแก้ปัญหาโลกร้อน และนี่จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้กรุงเทพมหานครกล้าผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

จากลอนดอนสู่กรุงเทพฯ

Bangkok Climate Action Week มีต้นแบบจากกรุงลอนดอน ที่จัดเป็นประจำทุกปี โดย แดเนียล ลีโอ ฮอร์น พัธโนทัย หรือ ลีโอ ผู้ที่นำโมเดลนี้มาสู่ประเทศไทย ร่วมมือกับกรุงเทพมหานครจนเกิดเป็นเวทีครั้งแรกในอาเซียน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพื้นที่กลาง ให้เครือข่ายที่ทำงานด้านสภาพภูมิอากาศได้มาพบปะ แลกเปลี่ยน และร่วมกันสื่อสารกับสาธารณะ

อนวัช บอกว่า ความคาดหวังไม่ใช่เพียงจัดงานจบไป แต่คือการจุดประกายการลงมือทำในชีวิตประจำวันของประชาชน และสร้างแรงกดดันเชิงบวกให้ภาครัฐเห็นถึงความพร้อมของสังคมไทยในการร่วมแก้ปัญหาโลกร้อน

นอกจากบูธ “Green Series” นิทรรศการยังมีการฉายภาพยนตร์เสวนา และบูธกิจกรรมจากเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตลอดจนกิจกรรมออนไลน์เพื่อขยายการสื่อสารต่อไป

งานจัดขึ้นที่ สำนักงานใหญ่ไทยพีบีเอส ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 – 18.00 น. โดยอนวัชทิ้งท้ายว่า

“ปัญหาโลกร้อนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องร่วมมือกันทั้งสังคม ทุกคนมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลง และเริ่มต้นได้จากสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว”

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active