ก้าวใหม่ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ “สถาบันการเงิน” ร่วมรับผิด “ปล่อยกู้ผู้ปล่อยมลพิษ”

สภาฯ เห็นชอบ “สถาบันการเงิน” ร่วมรับผิดชอบกรณีปล่อยสินเชื่อ-ให้คำแนะนำทางการเงิน แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษ หวังผลักดัน “ระบบประเมินความเสี่ยง” ในการพิจารณาก่อนให้คำปรึกษา-ปล่อยกู้ สอดคล้องหลัก “การเงิน ESG” ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล 

18 ต.ค.68 ก่อนปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2568 ในวันที่ 31 ต.ค. 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเดินหน้าพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาด พ.ศ. … ในวาระ 2 และเมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมามีการพิจารณาตั้งแต่มาตรา 73 ถึง 93/15 โดยมีมาตราที่น่าสนใจและมีผู้อภิปรายแสดงความเห็น โดยเฉพาะ ในหมวด 8 ความรับผิดทางแพ่ง ส่วนที่ 1 ความรับผิดทางแพ่งในราชอาณาจักรของผู้ก่อมลพิษทางอากาศและผู้เกี่ยวข้อ

เริ่มต้นที่ มาตรา 73 เกี่ยวกับ ผู้ใดก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ อันเป็นเหตุให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ผู้นั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย 

จุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเรียกค่าเสียหายจากมลพิษข้ามแดนนี้ จะดำเนินการได้อย่างไร เช่น โรงแรมต้องปิดกิจการชั่วคราวเนื่องจากสถานการณ์ค่าฝุ่นเกิดค่ามาตรฐาน จะเรียกค่าเสียหายแบบใด หรือ เจ้าของกิจการมีสิทธิที่จะร้องขอไปยังหน่วยงานรัฐให้ดำเนินคดีแพ่ง และคดีอาญากับผู้ก่อมลพิษได้หรือไม่ เพราะมาตราดังกล่าวกำหนดไว้เฉพาะมาตรการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น 

โดย อชิชญา อ๊อตวงษ์ กรรมาธิการ ชี้แจงว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นตาม มาตรา 73 คือ ผู้ที่เสียหายจะเป็นหน่วยงานรัฐ ซึ่งเป็นความเสียหายต่อส่วนรวม ที่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุขภาพประชาชน รวมทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม แต่มาตรา 73 ได้ให้อำนาจประชาชน ชุมชน ร้องขอไปยังหน่วยงานรัฐให้ดำเนินคดีผู้ที่กระทำการจนส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิเรื่องนี้เอาไว้ 

“ถ้าเป็นความเสียหายในเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างโรงแรมต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหาย ถ้ามีภาพรวมว่าเศรษฐกิจในจังหวัดหรืออำเภอมีความเสียหาย คนไม่มาท่องเที่ยวจำนวนมาก ตรงนี้ผู้ประกอบการสามารถร้องให้รัฐเข้ามาปกป้องคุ้มครองได้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าเป็นความเสียหายโดยตรงของเอกชนจะไปอยู่ในมาตรา 72 เรื่องสิทธิในการประกอบอาชีพ ที่มีรายได้ลดลง ซึ่งจะสามารถฟ้องได้ตามมาตรา 72”
อชิชญา อ๊อตวงษ์ 

ผลการลงเสียงมีผู้เห็นด้วย 255 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 งดออกเสียง 3 ไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง

สถาบันการเงิน “ร่วมรับผิด” ผู้ประกอบการปล่อยมลพิษ

อีกประเด็นสำคัญที่มีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยสงวนความเห็นให้ตัดออก คือ  มาตรา 73/2 ที่กรรมาธิการเพิ่มขึ้น เกี่ยวกับ สถาบันการเงินต้องร่วมรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาตรา 72 หรือ มาตรา 73 ที่หากปรากฎว่าได้ให้กู้ยืมหรือสนับสนุนทางการเงิน หรือให้คำปรึกษาทางการเงินแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็นประเภทกิจการที่คณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัดประกาศกำหนดในพื้นที่ไม่ผ่านเกณฑ์คุณภาพอากาศ ตามมาตรา 73/9 

ความรับผิดของสถาบันการเงินตามวรรค 1 ให้จำกัดไม่เกินจำนวนเงินที่พึงจะได้รับจากการให้กู้ยืมหรือสนับสนุนทางการเงิน หรือให้คำปรึกษาทางการเงิน

โดยสถาบันการเงินไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น หากพิสูจน์ได้ว่า

  1. มีระบบประเมินความเสี่ยงในการให้กู้ยืม หรือสนับสนุนทางการเงินหรือการให้คำปรึกษาทางการเงินที่คำนึงถึงความเสี่ยงด้านมลพิษทางอากาศอย่างเพียงพอ
  2. ได้ปฏิบัติตามระบบการประเมินความเสี่ยงนั้นในการดำเนินการดังกล่าว
  3. ได้ติดตามการตรวจสอบการปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือมาตรการดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ

ประเด็นนี้ พรรษศรณ์ สาครเสถียร กรรมาธิการเสียงข้างน้อย ขอสงวนคำแปรญัตติให้ตัดออกทั้งมาตรา โดยอธิบายว่า ก่อนจะถึงมาตรานี้ได้เห็นว่าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ในหลายมาตราจะมีลักษณะการป้องกันการเกิดมลพิษ เพื่อรักษาอากาศสะอาดให้กับประชาชน หรือ ป้องกันดีกว่ารักษา ที่ผ่านมาสมาชิกเกือบทุกพรรคแสดงความห่วงใยในหลาย ๆ มาตรา มีบางประเด็นที่อาจไปกระทบสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เช่น การเข้าไปในเคหะสถานในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจของเจ้าพนักงานอากาศสะอาด  โดยในมาตรา 73/2 ที่ตนได้ขอสงวนความเห็นไว้ว่าให้ตัดออกทั้งมาตรา เพราะไม่มีอยู่ในร่างเดิมของ ครม. และเพื่อป้องกันไม่ให้ พ.ร.บ.นี้กระทบต่อภาคผู้ประกอบการ ของธุรกิจทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม ที่ต้องทำธุรกรรมร่วมกับสถาบันการเงิน ด้วยเหตุผลของ กกร. ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรม และสมาคมธนาคาร

พรรษศรณ์ ชี้แจงว่า หลักการในมาตรา 73/2 เป็นหลักการความรับผิดในการละเมิดบุคคลอื่น ใช้ในกรณีที่บุคคลต้องร่วมรับผิดมีอำนาจควบคุมหรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น นายจ้าง ลูกจ้าง โดยมีเหตุผลในการขอตัด คือ

  1. สถาบันการเงินไม่มีอำนาจควบคุมแทรกแซง หรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ
  2. สถาบันการเงินให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศเท่านั้น
  3. สถาบันการเงินไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ในการประเมินความเสี่ยงด้านมลพิษในกิจการของผู้ประกอบธุรกิจ 

ซึ่งบทบัญญัติให้สถาบันการเงินต้องร่วมรับผิด ขัดกับหลักการทางกฎหมาย และเป็นการกระจายความเสียหาย ไปยังบุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำละเมิด จึงเป็นการเพิ่มภาระเกินควรให้แก่สถาบันการเงิน

พรรษศรณ์ ระบุอีกว่า หากมีการกำหนดเช่นนี้จะเกิดผลกระทบเชิงระบบ คือ เป็นการกระจายความเสี่ยงไม่เป็นธรรม ส่งผลให้ต้นทุนการปล่อยสินเชื่อสูงขึ้น กระทบต่อผู้ฝากและผู้กู้ และเสถียรภาพทางการเงินถูกบั่นทอน จึงเสนอว่าควรตัดมาตรา 73/2 และบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องออก

ขณะที่ จุลพงศ์ อภิปรายว่า โดยหลักการ เห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างมาก เพราะ 10 ปีที่ที่ผ่านมาการให้สนับสนุนทางการเงิน มีหลักของการนำ ESG Financing (การจัดหาเงินทุนที่พิจารณาจากเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) เพื่อสนับสนุนโครงการที่ยั่งยืน) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โลกของเราแนวโน้มไม่ได้ดูเฉพาะผลประกอบการหรือกำไร จะต้องดูด้วยว่ากิจการที่ให้สินเชื่อ ไปกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ แม้สถาบันการเงินจะไม่มีอำนาจทางกฎหมายเข้าไปควบคุม แต่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ ในการควบคุมสิ่งแวดล้อมในโลกนี้ และแนวโน้มของโลกเป็นแบบนี้ แม้กระทั่งตลาดหลักทรัพย์ก็กำหนดเงื่อนไขในลักษณะนี้เช่นกัน

แต่ท้วงติง เรื่อง “ผู้ให้คำปรึกษาทางการเงินต้องรับผิด” จึงเห็นว่า “ที่ปรึกษาทางกฎหมาย” ก็ควรต้องรับผิดด้วยหรือไม่ ? นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยเรื่องที่อาจมองข้ามไปคือบางธนาคารที่ไม่มีระบบดอกเบี้ยในการให้กู้เงิน จะดำเนินการเอาผิดอย่างไร? 

อชิชญา กรรมาธิการ ชี้แจงว่า แนวโน้มสถาบันการเงินธนาคารต่างๆ มีการปรับตัวเข้าหาประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมมลพิษทางอากาศมากยิ่งขึ้น ในชั้นกรรมาธิการที่มีกระบวนการร่างมาตรานี้ขึ้นมา มีการรับฟังความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินต่างๆ ว่ามีความพร้อมแค่ไหนมีมุมมองความคิดอย่างไร พบว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสถาบันปันการบางแห่ง มีความพร้อมพัฒนาระบบขึ้นมาเพื่อประเมินความเสี่ยงทางด้านมลพิษ อยู่แล้ว ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และพยายามทำกันอยู่เพียงแต่ว่ามาตรานี้เป็นการสร้างแรงจูงใจในทางลบให้กับสถาบันทางการเงินต้องเร่งพัฒนาระบบของตัวเองให้มากขึ้น และปรับใช้กับแหล่งกำเนิดมลพิษ

“ย้ำว่ามาตรานี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อลงโทษสถาบันการเงิน แต่เป็นไปเพื่อทำให้สถาบันทางการเงิน พยายามสร้างระบบประเมินความเสี่ยง เรื่องมลพิษทางอากาศมากขึ้น โดยนำระบบนี้มาใช้ในการพิจารณาให้คำปรึกษาหรือให้คำปรึกษาทางการเงิน กับแหล่งมลพิษต่างๆ และติดตามตรวจสอบต่อเนื่อง นี่คือหัวใจสำคัญของมาตรานี้ ซึ่ง กมธ. มุ่งหวังว่าจะทำให้สถาบันการเงินที่มีมีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศได้เข้ามาร่วมรับผิดชอบในมลพิษทางอากาศที่เราเผชิญ”
อชิชญา อ๊อตวงษ์

กรรมาธิการที่สงวนความเห็น “ติดใจ” ทำให้มีการโหวตว่าเห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างมาก หรือ กมธ.เสียงข้างน้อย ผลการลงความเห็นพบว่า เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก 255 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 งดออกเสียง 3 และไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง 

โดยในการพิจารณาถึงมาตรา 93/15 เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง มีความผิดทางพินัย ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย ไม่เกิน 50,000 บาท โดยจะมีการประชุมอีกครั้งในสัปดาห์ต่อไป ซึ่งเหลืออีก 10 มาตรา

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active