สัญญาณบวกหลังแบน 3 สารเคมีเกษตร พบนำเข้า-ใช้ลดลง

เสนอรัฐ จับมือเครือข่ายอาหารปลอดภัย เดินหน้าเคลื่อนนโยบาย ชูไทยเป็นฮับเกษตร-อาหาร จริงจัง พร้อมเดินหน้า สร้างมาตรฐานเตือนภัยระบบอาหารเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค เทียบมาตรฐานอียู ดันแนวคิดเพื่อจัดทำ ร่าง พ.ร.บ.อาหารปลอดภัย 

เมื่อวันที่  7 มิถุนายน 2567 เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ได้ร่วมจัดเวทีขับเคลื่อนนโยบายความปลอดภัยทางอาหารของประเทศ “สัญญาณแห่งความหวัง” ทศวรรษการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางอาหารในประเทศไทย เนื่องในโอกาสวันอาหารปลอดภัยโลก (World Food Safety Day)ร่วมกับนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม

โดยได้นำเสนอข้อมูลสำคัญ ผลจากการแบนการใช้พาราควอต คลอไพรีฟอส และจำกัดการใช้ไกรโฟเซต ในประเทศไทยราวๆ ปี 2563 เพราะเป็นสารก่อโรคพาร์กินสัน มีผลต่อพัฒนาการทางสมองของทารกในครรภ์ ก่อมะเร็งระดับ 2A  

ซึ่งพบว่าปริมาณนำเข้าลดลงอย่างชัดเจน จากปี 2560 ที่เคยนำเข้า 128 ล้านกิโลกรัม เหลือ 113 ล้านกิโลกรัมในปี 2565 

ส่วนข้อมูลการเจ็บป่วยจากสารเคมีเหล่านี้ก็ลดลงจาก 22.75 ต่อแสนประชากรในปี 2560  เหลือ 8.72 ต่อแสนประชากรในปี 2566 หรือลดลง 2.6 เท่า ขณะที่รายงานการเฝ้าระวังการตกค้างของสารพาราควอต โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปี 2562 พบ 26.6% ของกลุ่มตัวอย่าง แต่หลังแบนการใช้แล้วก็ไม่พบการตกค้างอีกเลย ใน 2564-2565 

ส่วนผลประเมินผลตอบแทนทางสังคมไทย โดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า ใน 10 ปีจะลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข หรือโรคที่เกิดจากสารเหล่านี้ แบ่งเป็นควอไพรีฟอส 4.1 หมื่นล้านบาท พาราควอต 4.750 ล้านบาท ไกลโฟเซต 1.89 พันล้านบาท ซึ่งหากไกลโฟเซตให้ยกเลิกการใช้คาดว่าตัวเลขจะเป็นบวกมากขึ้น

ส่วนการเฝ้าระวังสารกำจัดแมลงศัตรูพืช 4 กลุ่ม คือ คาร์บาเบท ออร์แกโนฟอสเฟต ออร์แกโนคลอรีน และไพรีทรอยด์ ในผัก ผลไม้ส่งออก ปี 2555-2565 การตกค้างก็ลดลงจากที่เกินค่ามาตรฐาน 50% ก็เหลือ 20% 

และเป็นที่มาของการมีมติสมัชชาฯ ที่ 5.5 เพื่อแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้างในผลไม้ส่งออก โดยทางไทยแพนร่วมกับภาคีเครือข่ายผลักดันไม่ให้ต่อทะเบียนและยกเลิกทะเบียนสารทั้ง 4 ตัว หารือกับห้างค้าส่งค้าปลีกว่าไม่ให้วางขายผัก ผลไม้ที่มีสารดังกล่าว ซึ่งพอไปตรวจสอบก็พบผัก ผลไม้มีสารตกค้างลดลงเรื่อยๆ จนไม่มีเลย  ตลอดจนการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพห้องแล็บให้สามารถตรวจหาสารเคมีหลายชนิดมากขึ้น เช่นปัจจุบันตรวจได้ 132 ชนิด บวกกับ พาราควอต และไกลโฟเซต แล็บกรมวิทย์ฯตรวจได้ 250 -500 ชนิด และแล็บเอกชนบางแห่งขอรายการที่ไทยแพนส่งตรวจที่อังกฤษไปพัฒนาการตรวจของตัวเอง จนสามารถได้ 420 ชนิด

“ถือเป็นการตื่นตัว และพยายามยกระดับมาตรฐานของไทย จนพบสารตกค้างในผัก ผลไม้ลดลง เช่นที่ห้างฯจากที่พบ ตกมาตรฐาน 60% ในปี 2559 พอปี 2565 ขยับไปตรวจ 567 สาร พบตกค้างลดลง อยู่ที่ 51% ถือเป็นสัญญาณที่ดี ภายใต้ขอบเขตของกระชอนที่ถี่ขึ้นและตัวเลขดีขึ้น เป็นสัญญาณว่า เราเดินมาถูกทาง มีการจัดการที่ต้นทางจนสร้างอิมแพคอย่างมากกับประเทศ”

ปรกชล อู๋ทรัพย์ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำตัดศรัตรูพืช ( Thai-PAN )

รศ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า การทำงานจะสำเร็จได้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน สังคมขับเคลื่อนด้วยความรู้ ความจริง ต้องสื่อสารให้รู้ว่าเราเดือดร้อน เจ็บป่วย เสียชีวิต เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมากแค่ไหน และต้องรู้ว่า เมื่อเรากินอาหารปลอดสารพิษแล้วสุขภาพดีขึ้นจริง แม้เป็นตัวอย่างเล็กๆ การแบนสารเคมีบางตัวของเราสร้างแรงกระเพื่อมไปถึงระดับโลก เราทำอะไรทั่วโลกรับรู้ ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันเปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงโลก เราภูมิใจว่าเกิดมาแล้วชีวิตหนึ่งทำดีเพื่อส่วนรวม

ภญ.สุภาวดี ธีระวัฒน์สกุล ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ทาง อย.จะมีระบบการตรวจสอบคุณภาพอาหารต่างๆ ตั้งแต่ก่อนวางจำหน่ายและหลังวางจำหน่าย อย่างผัก ผลไม้จะมีการตรวจสอบตั้งแต่โรงคัดบรรจุ และตลาด ซึ่งที่ผ่านมามีการเก็บตัวอย่างราวๆ 1 พันตัวอย่าง พบสินค้าตกมาตรฐานประมาณ 20% ซึ่งต้องยอมรับว่า ตัวเลขแตกต่างจากที่ไทยแพนตรวจพบ เป็นเพราะข้อจำกัดหลายอย่าง 1. แล็บตรวจภายในประเทศตรวจหาสารเคมีได้จำกัด 2. ใช้เวลาตรวจสอบนาน 3. ค่าตรวจแพง  ซึ่งการจะพัฒนาระบบต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เท่าที่ด่านอาหารคำนวณสำหรับตรวจผัก ผลไม้นำเข้า อยู่ที่ประมาณ 40 กว่าล้านบาท ส่วนการตรวจผลัก ผลไม้ในประเทศราวๆ 37 ล้านบาท จึงเป็นไปไม่ได้เลย เพราะทุกวันนี้ เราใช้งบฯ ราว 40 ล้านบาทในการเก็บตัวอย่างทุกๆ อย่าง จึงจำเป็นต้องสุ่มตรวจ โดยเน้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง

 “แล็บในประเทศอาจจะตรวจสารเคมีได้ประมาณ 100 ชนิด ส่วนแล็บที่ไทยแพนส่งตรวจอาจจะตรวจได้ 500 กว่าชนิด ทำให้ตัวอย่างที่ อย.เก็บตรวจเจอสารตกค้างน้อยกว่าที่ไทยแพนเจอ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราเองตรวจหาสารตัวนั้นไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีสารตัวนั้นตกค้างอยู่”

ภญ.สุภาวดี ธีระวัฒน์สกุล ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

ขวา :รศ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

“เรามีระบบสื่อสารเตือนภัยอาหาร THRASFF ตั้งแต่ปี 2554 ศูนย์รวมไปยังภาครัฐกระทรวงเกษตรฯ อุตสาหกรรม เอกชน และมีระบบตรวจสอบโดยห้องปฏิบัติการตามมาตรฐาน ISO 17025 ต้องปรับปรุง ด้านการอินพุตข้อมูลและเตือนภัย และคณะทำงานเห็นควรมีการเปิดข้อมูลสู่สาธารณะด้วย” 

พัทธนันท์ เกษมวีรศานต์  สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ( มกอช.

ภก.ภาณุโชติ ทองยัง จากสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า เครือข่ายคือตัวแทนที่จะพูดแทนผู้บริโภค ว่าปัจจุบันด้วยภาคประชาชนมีร่วมอยู่ 2 อย่าง คือร่วมตกใจ กับร่วมเสี่ยงภัย ดังนั้น จึงอยากให้เปิดช่องให้ภาคประชาชนเข้าร่วมกับระบบเฝ้าระวังเชิงรุก เตือนภัยเร่งด่วน ซึ่งประชาชนจะมีความเข้าใจในพื้นที่ ช่วยรัฐในการจับตา

 “ผมมองว่า ระบบเฝ้าระวังเชิงรุกนั้น ถ้าหน่วยงานภาครัฐยังแบกไว้ฝ่ายเดียว งบประมาณก็เยอะ คนก็ไม่พอและซ้ำซ้อนกัน ดังนั้นมาแชร์กันได้ไหม ทุกวันนี้ผู้บริโภคไม่ธรรมดา บางคนนักวิชาการ บางคนเป็นหมอประชาชนมีความรู้” 

ภก.ภาณุโชติ ทองยัง จากสภาองค์กรของผู้บริโภค 



ศักดิ์ณรงค์ ศิริพร ณ ราชสีมา อดีตที่ปรึกษาสถาบันอาหาร กล่าวว่า จากที่ฟังหน่วยงานต่างๆ พูดถึงการดูแลเรื่องอาหารปลอดภัยเหมือนจะมีความชัดเจน แต่ไม่มีความชัดเจน ทำให้โครงสร้างความปลดภัยด้านอาหารไม่คอมพลีท ตนไม่เชื่อว่ากลไกของรัฐจะตรวจสอบได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ต้องทำมีผู้เล่น 3 ส่วน 1. รัฐ ต้องเป็นผู้นำดำเนินการ 2. ภาคเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการ เกษตรกร ร่วมทำเรื่องมาตรฐานระบบ มาตรฐานผลิตภัณฑ์คู่ขนานกันไป และตัวที่ 3. เป็นสัญญาณทางบวกและเป็นความหวัง คือการมีสภาองค์กรผู้บริโภค แม้ได้เงิน 300 กว่าล้านเมื่อก่อตั้งแต่ไม่เพียงพอ แต่หากรัฐบาลเห็นความสำคัญแล้วให้เครือข่ายภาคประชาชนทำ ทำไมจะทำไม่ได้ ทำเหมือนทำพาสปอร์ตที่ให้เอกชนมาทำ แล้ว มกอช.ไปตรวจสอบติดตามแล็บให้ ทำงานประสานอย่างนี้เหมือนกับสหภาพยุโรปที่ทำแบบนี้ สำหรับระบบ Rapid Alert System เป็นเรื่องดี แต่หากไม่สแกน ก็จะทำให้ผู้บริโภคตกใจ แล้วเสี่ยงทำให้ล้มทั้งระบบ

“นายกฯ พูดชัดว่าชูไทยเป็นฮับด้านเกษตร อาหาร ประสบการณ์ ของผม 30 ปี ที่ทำงานด้านนี้ รู้สึกว่า ไม่อยากให้พูดอย่างเดียว กลไกสำคัญคือภาคการเมืองว่าจะเอาจริงแค่ไหน ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยเอาจริงเรื่องนี้ ที่แข็งแรงที่สุดือภาคประชาชน เครือข่าย ไม่เคยเห็นภาคการเมืองชูเรื่องอาหารปลอดภัยมาป็นอันดับหนึ่งเลย ผมขอท้าทายรัฐบาลทุกยุค ถ้าท่านเห็นความสำคัญของประชาชนอย่าดีแต่พูด ท่านต้องทำด้วย”

ศักดิ์ณรงค์ ศิริพร ณ ราชสีมา อดีตที่ปรึกษาสถาบันอาหาร

ชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม กล่าวว่า  สิ่งที่จะทำให้สำเร็จ 1. ต้องเผยแพร่ความจริงให้ประชาชนได้ตระหนัก 2.คนทำงานต้องอดทนต่อแรงเสียทาน สู้กับกลุ่มผลประโยชน์ ต้องแก้กฎหมายให้เกิดการร่วมมือกันมากขึ้น ซึ่งตนได้รับรายงานจากฝั่งกระทรวงสาธารณสุข โดย อย. ที่ตรวจพบผัก ผลไม้นำเข้าจากจีนมีการปนเปื้อนสารเคมี แต่ผ่านมาหลายปีการทำงานในการตรวจสอบป้องกันซึ่งมีหลายหน่วยงานยังไม่มีความเป็นเอกภาพ บูรณาการร่วมกัน ทั้งนี้ตนคิดว่า การทำระบบอาหารปลอดภัยรัฐจำเป็นต้องเป็นผู้นำ และดึงภาคประชาชนมามีส่วนร่วม แต่ทราบว่าติดข้อกฎหมายของ อย.เรื่องนี้ต้องคุยกันต่อ รวมถึงแนวคิดทำ ร่าง พ.ร.บ.อาหารปลอดภัย โดยภาคการเมืองต้องเอาจริง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active