รูปติดบัตร นศ.แต่งตามเพศสภาพ ไม่ระบุคำนำหน้านาม อะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นที่ มช.

นักการศึกษา แนะ สถาบันการศึกษา มีส่วนบ่มเพาะสร้างความเข้าใจ ก่อนใช้ชีวิตจริง มองความหลากหลายทางเพศ เป็นเรื่องปกติในสังคม

แม้การระบุคำนำหน้านามตามเจตจำนงของตนเองในเอกสารราชการไทย จะยังไม่เกิดขึ้นใน พ.ศ.นี้ ที่ผ่านมาเราได้เห็นการทดลองในพื้นที่ปลอดภัย อย่าง สถาบันการศึกษา ที่เปิดกว้างในเรื่องเพศ เช่น ให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา แต่งกาย ไว้ทรงผม ตามเพศสภาพได้

ล่าสุด อะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ที่ออกมายืนยันตาม ข้อบังคับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่าด้วยความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางเพศของผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยและนักศึกษาสังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2564 อนุญาตให้นักศึกษาใช้รูปที่แต่งตัวตามเพศสภาพเพื่อทำบัตรนักศึกษาได้ อีกทั้งจะไม่ระบุคำนำหน้านามที่แสดงถึงเพศก็ได้ โดยให้ยึดตามข้อบังคับดังนี้

  • ข้อ 5 ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยและนักศึกษาพึงปฏิบัติต่อบุคคลเพศชาย บุคคลเพศหญิงหรือบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศ เพศสภาพ หรือเพศวิถีไม่ตรงกับเพศกำเนิดโดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียมทางเพศ และต้องไม่กระทำการใดที่เป็นการ กลั่นแกล้ง ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ ข่มเหง หรือลดทอนคุณค่าของบุคคลเพราะเหตุแห่งเพศ เพศสภาพ หรือเพศวิถี รวมถึงการแสดงอคติทางเพศที่ไม่เคารพในสิทธิและเสรีภาพของบุคคล

  • ข้อ 6 ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิดอาจแต่งกายชุดเครื่องแบบพนักงานมหาวิทยาลัยในการเข้าร่วมพิธีการต่าง ๆ หรือแต่งกายชุดสุภาพในการปฏิบัติงานตามเพศสภาพของตนได้

  • ข้อ 7 นักศึกษาที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด อาจแต่งกายด้วยเครื่องแบบปกติตามเพศสภาพ เว้นแต่นักศึกษาที่ฝึกงานภาคปฏิบัติให้สวมใส่ชุดฝึกงานตามแบบที่สถานประกอบการกำหนด หรือตามแต่เหตุและกรณีที่มีความจำเป็นของแต่ละกรณี ผู้สำเร็จการศึกษาที่จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด สามารถแต่งกายชุดครุยวิทยฐานะเพื่อเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรตามเพศสภาพของตนได้

  • ข้อ 8 ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยและนักศึกษาที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด อาจใช้รูปภาพที่แต่งกายตามเพศสภาพของตนใช้ติดบัตรประจำตัว หรือติดในเอกสารอื่นใดได้

  • ข้อ 9 การดำเนินการจัดทำบัตรประจำตัว หรือการให้บริการทางด้านเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลของผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยหรือนักศึกษา ที่มิได้เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับเอกสารทางราชการอย่างมีนัยสำคัญ จะไม่ระบุคำนำหน้านามที่แสดงถึงเพศก็ได้

  • ข้อ 10 การประกาศรับสมัครและการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครเป็นผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยจะต้องไม่นำลักษณะเฉพาะทางเพศ เพศสภาพ หรือเพศวิถีมากำหนดเป็นคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามเฉพาะ สำหรับการประกาศรับสมัครพนักงานมหาวิทยาลัยหรือกำหนดเป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย เว้นแต่ลักษณะงานมีความเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเพศหรือมีความจำเป็นต้องใช้เพศใดเพศหนึ่งโดยเฉพาะ…”
ภาพ : มช.ทูเดย์ 

The Active พูดคุยกับนักศึกษาใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีนี้ ระบุว่า รู้สึกดีใจที่มหาวิทยาลัยเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายทางเพศ เพราะที่ผ่านมาในระดับมัธยมตนเองต้องตัดผมสั้นมาโดยตลอด กระทั่งปิดเทอมที่ผ่านมาจึงเริ่มไว้ผมยาวเพราะกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ที่น่าจะมีอิสระในการไว้ทรงผม การแต่งกาย ที่เป็นตัวเองได้มากขึ้น แต่ก็แอบกังวลกับการทำบัตรประจำตัวนักศึกษาอยู่บ้าง ว่าจะต้องเป็นทางการแบบในเอกสารราชการหรือไม่ แต่พอรู้ว่าทาง มช.ยืนยันตามข้อบังคับนี้มาก็รู้สึกดีใจ

“จริงๆ มันมีระเบียบอยู่แล้ว หนูคงไม่ทำสีผมฉูดฉาด แต่งตัวไม่เหมาะสมทำเป็นบัตรนักศึกษาหรอกค่ะ มันน่าจะเป็นความคิดของคนที่มีอคติมากกว่า ว่าพอให้อิสระ LGBTQIAN+ แล้ว เดี๋ยวมันก็จะทำอะไรเวอร์ ๆ ซึ่งความจริงเรารู้ว่าอิสระที่อยู่ในกรอบของการเคารพสังคม เคารพคนอื่น มันคือแบบไหน เราแค่อยากได้ความมั่นใจในการใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเท่านั้นเอง”

นักศึกษา มช. ชั้นปีที่ 1

แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่สถาบันการศึกษา ลุกขึ้นมาเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายทางเพศ ก่อนหน้านี้ในปี 2565 มหาวิทยาลัยรังสิตออกระเบียบให้บัตรนักศึกษาไม่ต้องระบุเพศสภาพ ไม่มีคำนำหน้า นาย นางสาว และสามารถเลือกเครื่องแบบได้ตามสมัครใจ โดยรูปติดบัตรขอเเค่เป็นเครื่องแบบ ม.รังสิต สีผม ทรงผมในเเบบที่ชอบ

เช่นเดียวกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ อนุญาตให้นักศึกษาแต่งกายตามเพศสภาพตนเองได้

สโมสรนิสิตคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่ประกาศยกเลิกการใช้คำนำหน้าระบุเพศ เพื่อเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศภายในองค์กรสภานิสิต

รวมถึงบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏ และ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่เปิดโอกาสให้บัณฑิตแต่งกายตามเพศสภาพด้วยชุดครุยวิทยฐานะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรได้ และอาจมีอีกหลายแห่งที่ไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งการเริ่มต้นที่สถาบันการศึกษาถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการจำลองสถานการณ์เมื่อพวกเขาเติบโตไปอยู่ในสังคมท่ามกลางความแตกต่างหลากหลาย

ผศ.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

สอดคล้อง ผศ.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่เคยกล่าวไว้ในวงเสวนาใน Public Forum : “Pride Month” ประตูบานแรกสังคมไทย เข้าใจความหลากหลาย ว่า ความไม่รู้ทำให้กลัว ความกลัวทำให้เกิดอคติ และอคติทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติ ระบุว่า คนจำนวนมากไม่เคยได้เห็นและสัมผัสว่าตัวตนของ LGBTQIAN+ ในโลกความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร และเข้าใจผ่านการประกอบสร้างผ่านสื่อ และเมื่อคนไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ ก็ย่อมนำไปสู่ความกลัว เมื่อกลัวแล้วก็นำไปสู่การทำให้แปลกแยก ทำให้เป็นตัวประหลาด และกีดกันออกจาก ‘ความปกติ’ ของสังคม ทั้งที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศยืนยันว่าพวกเขาก็เป็นมนุษย์ และมีความเป็นมนุษย์ไม่ต่างจากใคร ๆ ดังนั้น สถาบันการศึกษาจึงมีส่วนสำคัญมากในการสร้างความเข้าใจให้กับคนในสังคม

สิ่งที่พบคือ เด็กรุ่นใหม่เข้าใจในคอนเซปต์ของสังคมหลากหลายทางเพศ พวกเขาไม่ได้กังวลว่าตนเองต้องมีพฤติกรรมตรงกับเพศกำเนิด และเขามองคนทุกเพศอย่างเท่าเทียมกัน แต่วงการการศึกษาถูกหยุดไว้กับวิธีคิดแบบระบบชาตินิยมและสังคมชายเป็นใหญ่ เชื่อในแนวคิด “ความมั่นคงของครอบครัว คือ ความมั่นคงชาติ” ทำให้เกิดการปลูกฝังให้สังคมแบ่งด้วยระบบสองเพศ คือ ชาย-หญิงและตีกรอบการแสดงออกทางเพศ

“คิดว่าต้องเริ่มตั้งแต่สมัยอนุบาล เพราะยิ่งทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติได้ทำให้เด็กเติบโตคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก หรือเป็นเรื่องพิเศษ แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดา เราสามารถทำให้เกิดขึ้นในระบบสถาบันการศึกษาแล้วเด็กโตขึ้นมาก็จะรู้สึกว่าเขามีเพื่อนที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นเรื่องปกติไม่ต้องมาสร้างการรับรู้กันอีกต่อไป”

ผศ.อดิศร จันทรสุข

ทั้งนี้การเรียนรู้ และยอมรับความหลากหลายทางเพศ ถือจะเป็นประตูบานแรกที่จะนำสังคมไทยก้าวไปสู่สังคมที่ยอมรับความแตกต่างหลากหลายอื่น ๆ ในสังคมได้  ซึ่งความหลากหลายนี้ได้แสดงผ่านกลุ่มคนในมิติอื่น ๆ เช่น กลุ่มผู้สูงวัย ผู้พิการ คนไร้บ้าน หรือประชากรข้ามชาติ อีกด้วย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active