ขบวนคนจนเพื่อสิทธิที่ดินและที่อยู่อาศัย เชื่อ สามารถแก้ปัญหาผู้มีรายได้น้อย ที่ไม่มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัยในไทย กว่า 5.87 ล้านคน ด้านนักกฎหมาย-นักวิชาการ ชี้ ช่วยแก้ปัญหาความไม่ต่อเนื่องทางนโยบาย และการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ครอบคลุม
ก่อนวันที่อยู่อาศัยโลก ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 6 ต.ค.68 ขบวนคนจนเพื่อสิทธิที่ดินและที่อยู่อาศัย เตรียมจัดขบวนรณรงค์เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก เพื่อให้คนจนได้เข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มั่นคง พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลและทุกภาคส่วน บรรจุสิทธิที่อยู่อาศัย เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดย ขบวนคนจนเพื่อสิทธิที่ดินและที่อยู่อาศัย เป็นการรวมกลุ่มองค์กรของชาวชุมชน – หมู่บ้าน ที่ไม่มีความมั่นคงในด้านที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน จำนวน 11 องค์กร คือ เครือข่ายสลัม 4 ภาค, เครือข่ายชุมชนคนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ, เครือข่ายริมรางเมืองย่าโม, ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม, เครือข่ายบ้านมั่นคงชุมชนริมรางรถไฟ, เครือข่ายที่อยู่อาศัยคลองเตย, เครือข่ายภาคประชาสังคม, เครือข่ายพัฒนาที่ดินและที่อยู่อาศัย 5 ภาค, เครือข่ายพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมคูคลอง, ขบวนสภาริมรางเมืองขอนแก่น และสมาพันธ์คนไร้บ้านไทย
สรายุทธ์ บุญเลิศกุล ที่ปรึกษากฎหมายโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมราง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เปิดเผยกับ The Active ถึงเหตุผลสำคัญการผลักดันบรรจุ เรื่องที่อยู่อาศัยให้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในรัฐธรรมนูญ จากข้อมูลตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปีของรัฐบาลไทย (ปี2017 – 2036) พบว่า 5.87 ล้านครัวเรือน ยังมีที่อยู่อาศัยที่ไม่มั่นคง อีกทั้งพบว่ามีประชากรที่อาศัยหลับนอนในที่สาธารณะ หรือศูนย์คนไร้ที่พึ่งต่างๆ (Homeless) กว่า 4,000 คน และยังมีครัวเรือนจำนวนมากต้องเสี่ยงต่อสถานการณ์การไล่รื้อ จากภัยคุกคามของโครงการพัฒนาของรัฐ และปัญหาที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่การไร้ที่อยู่อาศัยจากสาเหตุอื่นๆที่เห็นอยู่ทั่วไปในสังคม


ที่ผ่านมาหลายรัฐบาล แม้จะมีความพยายามในการวางนโยบายแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย ยกตัวเช่น บ้านเอื้ออาทรบ้านประชารัฐ ล่าสุดในรัฐบาลที่ผ่านมา กับนโยบายบ้านเพื่อคนไทย แต่ต้องยอมรับว่าเกิดผลกระทบต่อการขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐ ที่มีความไม่ต่อเนื่อง เกิดการล้มเลิก

แม้แต่โครงการบ้านมั่นคงที่ทำมาต่อเนื่อง ซึ่งตรงนี้ พอช.เป็นโพรเจคเมเนเจอร์ หรือเป็นตัวกลางขับเคลื่อนบนนโยบายของรัฐบาล มีหน้าที่หลักในการประสานงานในการเคลื่อนโครงการ ก็พบปัญหาอุปสรรคที่ขับเคลื่อนได้ไม่ตรงเป้าหมาย เฉพาะในชุมชนริมรางรถไฟ ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง ตั้งเป้าหมายบ้านมั่นคงไว้ตั้งแต่ปี 2566-2570 ซึ่ง 5 ปีอย่างน้อย พี่น้องประชาชน 27,084 ครัวเรือนจะได้อานิสงส์จากการจัดระบบระเบียบครั้งนี้ แต่ปรากฎว่า ติดขัดกับเรื่องขอเช่าที่ดินการรถไฟ ที่ดินราชพัสดุ หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น ที่กว่าจะถมจะขุดต้องมีระเบียบรองรับมากมาย ก็ใช้เวลาครึ่งค่อนปี พี่น้องประชาชนเช่าแล้ว จึงยังไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ เป็นความเดือดร้อนมาก
“เท่าที่ดูติดตามความคืบหน้าในการดำเนินโครงการบ้านมั่นคงชุมชนริมราง ซึ่งตามแผนปี 2566-2568 ตั้งเป้า 27,084 ครัวเรือน คือต้องไม่ต่ำกว่าปีละ 5,000 ครัวเรือน แต่ผ่านมากว่า 2 ปี ได้มาประมาณ 3,000 ครัวเรือน คือต่ำกว่าเป้ามาก ดังนั้นจะทำอย่างไรที่จะขยับจากเฉลี่ยปีละ 1,000 เป็น 5,000 ให้ได้ อันนี้ต้องใช้ระบบกฎหมายเข้ามาแก้ไข นี่คือเหตุผลความจำ ที่ต้องบรรจุเรื่องที่อยู่อาศัย เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในรัฐธรรมนูญ”
การที่รัฐธรรมนูญไม่กำหนดให้เป็นพันธะกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม ทำให้การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยกลายเป็นเรื่องของความเมตตา หรือความสนใจของรัฐบาลในแต่ละยุค ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ในการขับเคลื่อนนโยบาย 3 เรื่องสำคัญ
- ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย เนื่องจากนโยบายที่อยู่อาศัยสำหรับคนจนมักมีอายุสั้นตามวาระของรัฐบาลชุดนั้น ๆ เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลหรือเปลี่ยนตัวผู้บริหารกระทรวง โครงการที่ดีและเริ่มริเริ่มมาอย่างเป็นระบบก็อาจถูกยกเลิกถูกลดงบประมาณ หรือถูกแช่แข็งอย่างง่ายดาย เนื่องจากไม่มีกฎหมายสูงสุดเป็นหลักประกัน เช่นโครงการพัฒนาชุมชนแออัดหรือโครงการบ้านมั่นคงบางแห่งที่อาจขาดงบประมาณสนับสนุนต่อเนื่องจนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
- ขาดกลไกการรับผิดชอบเมื่อที่อยู่อาศัยไม่ได้เป็นสิทธิที่ฟ้องร้องได้ รัฐบาลจึงไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย หากล้มเหลวในการจัดการอย่างเพียงพอ ทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการจัดสรรงบประมาณขนาดใหญ่ และวางแผนระยะยาวอย่างจริงจัง การแก้ไขปัญหาจึงมักเป็นไปในลักษณะทำเท่าที่มีกำลังหรือทำเพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางการเมือง มากกว่าการตอบสนองต่อพันธกรณีของรัฐ
- ลดทอนสิทธิในภาวะที่ไม่มีการคุ้มครองสิทธิ์อย่างมั่นคง เมื่อรัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินโครงการพัฒนา เช่น สร้างทางด่วน สร้างรถไฟฟ้า ขยายเขตเศรษฐกิจ การไล่รื้อชุมชน จึงกลายเป็นทางเลือกที่ง่าย และถูกกฎหมายที่สุด เพราะต้นทุนทางกฎหมายต่ำประชาชนไม่มีอำนาจต่อรองแข็งแกร่งพอ การดำเนินงานของรัฐจึงมักตั้งอยู่บนหลักการของการพัฒนาเศรษฐกิจ นำหน้าสิทธิ มนุษยชน
“ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาก็ต้องทำ เมื่อถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ อย่างเรื่องสิทธิการเข้าถึงการศึกษา เรื่องสาธารณสุข อย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งหลักประกันต่างๆมาจากรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ไม่เคยเปลี่ยนเลยและโตขึ้นโตขึ้นทุกวัน ๆ สวัสดิการเรื่องประกันสังคม เรื่องกองทุนกู้ยืมการศึกษา เรื่องของเบี้ยคนชรา คนพิการ เด็กแรกเกิด ทุกอย่างวันนี้มันเกิดขึ้นค่อย ๆ พัฒนา เพราะฉะนั้นต้องยืนยันว่าโดยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ถ้าวางหลักการไว้แล้วและมีกฎหมายลูกมาหนุนเสริมนโยบายจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนตามสภาพกาล ไม่ใช่ว่าไม่พอใจจะทำแล้วเลิกได้” สรายุทธ์ กล่าว

ทั้งนี้ อย่าลืมว่าการบริหารจัดการบ้านเราอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกฎหมายนี้จะเกี่ยวโยงกับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งฉบับใหม่คือฉบับที่ 24 กำลังจะออกมา หากจะทำนโยบายอะไร ต้องกรอบพวก ดังนั้นถ้ามีกฎหมายเรื่องนี้ เชื่อว่าพี่น้องประชาชนจะรู้สึกอุ่นใจมีหลักประกันที่อยู่อาศัยที่มั่นคงมากขึ้น
“ตัวแทนขององค์กรภาคประชาชนได้ยื่นข้อเสนอบรรจุเรื่องที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในรัฐธรรมนูญ ผ่านพรรคการเมืองไปยังรัฐบาล รวมถึงวุฒิสภาแล้วทุกช่องทาง จากนี้พี่น้องประชาชน ก็คงจะผลักดันเรียกร้องต่อเนื่อง รัฐบาลควรเป็นความหวังให้ประชาชนที่ต้องการให้มาดูแลเรื่องของสิทธิที่อยู่อาศัย และเนื่องในวันที่อยู่อาศัยสากลนี้ อย่าเป็นเพียงแค่วันเดียว แต่จงเป็นทุกๆวัน ที่สร้รงความมั่นคงที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน”
แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยต้องอยู่บนหลักกระจายอำนาจ แก้ปัญหารัฐรวมศูนย์
สมสุข บุญญะบัญชา ประธานอนุกรรมการบ้านมั่นคงและการจัดการที่ดิน ระบุว่า หลายรัฐบาลมีการเชื่อมประสานการทำงานกับเอกชนอย่างดี และช่วงที่ผ่านมาการผลิตภาคอสังหาริมทรัพย์ มีการผลิตกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรัฐบาลเอื้อให้เอกชน ไม่ว่าเล็ก ไม่ว่าใหญ่ สามารถที่จะทำโครงการที่อยู่อาศัยได้ แต่เป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่ออกมาเพื่อทำให้ผู้ผลิตมีกำไร มีรูปแบบหลากหลาย มีตัวเลือกเยอะพอสมควร แต่ประเด็นสำคัญคือคนจนเข้าไปซื้อ คนจนเข้าไปอยู่ไม่ได้
พอผลิตเยอะล้นเกิน คนผลิตจะเจ๊ง เลยมีความพยายามรณรงค์ที่จะไปขายให้ชาวต่างชาติ 99 ปี และอยากให้สิทธิมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ก็กลายเป็นว่าคนในประเทศไม่มีที่อยู่เพียงพอ แต่อยากให้คนต่างประเทศที่มีเงิน รวมทั้งกลุ่มสีเทาเข้ามาอยู่ มาซื้อคอนโดอยู่ในประเทศไทย แล้วมาสร้างความเสียหายต่าง ๆ มีสถานภาพทมีที่อยู่ที่ดี มั่นคงกว่าคนไทย
“ที่อยู่อาศัยในมิติของการเงิน กำไร การเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินกว่ามิติทางเรื่องของสังคมที่จะให้คนทุกคนต้องมีที่อยู่อาศัย เพราะฉะนั้นความสำคัญที่เราจะให้ทุกคนที่มีที่อยู่อาศัยที่ดีพอสมควรจึงเป็นโจทย์สำคัญ” สมสุข กล่าว

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่บรรจุที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน จะนำไปสู่วิธีปฏิบัติให้สำเร็จอย่างไรนั้น เรื่องนี้ประธานอนุกรรมการบ้านมั่นคงและการจัดการที่ดิน มองว่า ต้องกระจายอำนาจ กระจายกันทำเรื่องนี้ออกไปให้เป็นเรื่องถิ่นฐานของแต่ละจังหวัด แต่ละเมือง แต่ละท้องถิ่น ให้การสร้างถิ่นฐานของผู้คนเป็นเรื่องที่เป็นพื้นฐาน ให้เขามีความมั่นคงเข้มแข็ง มีระบบสังคม ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานของสังคมไทย และให้เป็นเรื่องพื้นฐานของทุกคน ทุกท้องถิ่นทุก จะต้องมีนโยบาย มีวิธีการ มีงบประมาณ และมีส่วนร่วมของการสร้างถิ่นฐาน สร้างที่อยู่ที่มั่นคงของแต่ละบริบท
“เพราะฉะนั้นมันจะต้องเป็นการดำเนินการกระจายอำนาจให้แต่ละท้องถิ่น ต้องมีแผน ต้องมีการสนับสนุน ต้องสร้างที่อยู่ สร้างชุมชน สร้างคน สร้างระบบชุมชน ที่เป็นเรื่องพื้นฐานของการบริหารพื้นที่ท้องถิ่นในทุกท้องถิ่น อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ และต้องกระจายบทบาทด้วย” สมสุข กล่าว
ในเรื่องของการจัดการที่อยู่อาศัย ก็ต้องมีมิติของการพัฒนาที่เชื่อมโยงกับเรื่องของการพัฒนาที่ต่อเนื่อง การพัฒนาที่ยั่งยืน การมีสวัสดิการของผู้คน เราต้องคำนึงถึงเด็ก ถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ ผู้สูงอายุที่เขาต้องมีกลุ่ม มีระบบที่จะดูแลกัน มีระบบที่จะมีกิจกรรมร่วมกัน ถ้าชุมชนหรือระบบที่อยู่ร่วมกันมันเป็นพื้นฐานที่คนทุกกลุ่ม มีการมาเชื่อมโยงกัน จัดกิจกรรมด้วยกัน มาดูแลกัน มันจะเป็นระบบที่เราให้ความสำคัญกับคนไทยทุกคน ทุกคนก็จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบหลายๆอย่างที่อยู่ร่วมกันผ่านการอยู่อาศัย
“เห็นในเรื่องสิทธิ เวลาเขียน มักบอกว่าต้องไปอยู่กระทรวงนั้น กระทรวงนี้ ช่วงนี้สร้างกฎกระทรวงสร้างระเบียบ ทำไปทำมา กลายเป็นว่าหน่วยงานที่ทำเรื่องนี้กลายเป็นแผนกหนึ่งของกระทรวงไปซะแล้ว เป็นสำนักงานของกระทรวงนั้น กระทรวงนี้ และถูกยกเลิกไป เพราะซ้ำซ้อนกับกระทรวง วิธีการสร้างระบบของการออกแบบเวลามีกฎหมาย เรามักคิดว่า ต้องอยู่ที่องค์กรของรัฐส่วนกลาง ก็กลายเป็นผู้เป็นเจ้าของเป็นโมเดลรวมศูนย์ตรงนี้ที่เป็นห่วง”
เมื่อสิทธิในรัฐธรรมนูญหมายถึงการกระจายอำนาจอย่างที่ได้พูดไป จึงเป็นสิทธิของแต่ละท้องถิ่น ในการที่จะมาจัดเรื่องนี้ด้วยกัน ในการที่จะดูแลเรื่องที่ดิน เช่น เอาที่ดินมาจัดอาชีพพื้นฐาน และทำตลาดต้องทำยังไง รวมไปถึงสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่ประชาชนต้องเข้าถึง เรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัย หรือการพัฒนาถิ่นฐาน จึงสำคัญ และเป็นเรื่องใหญ่มาก