สภาผู้บริโภค เรียกร้องกรมกิจการผู้สูงอายุ แจ้งเตือนกลุ่มผู้สูงวัยให้ทราบถึงผลกระทบจากข้อมูลที่รั่วไหลออกมาเกือบ 20 ล้านชุด แนะรัฐควรออกแบบระบบสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันความเสียหาย
จากกรณีเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 บริษัท Resecurity ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ให้บริการด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานโดยระบุว่าเดือน มกราคม 2567 พบข้อมูลที่ใช้ระบุตัวคนไทย ประกอบด้วย ชื่อ – นามสกุล เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ลายมือชื่อ รวมถึงรูปถ่ายหน้าตรง เกือบ 20 ล้านชุดข้อมูลรั่วไหลออกมาและถูกประกาศขายบนเว็บไซต์ซื้อขายข้อมูลผิดกฎหมาย หรือดาร์กเว็บ (Dark Web)
ซึ่งแหล่งข้อมูลที่รั่วไหลมากที่สุด ได้แก่ กรมกิจการผู้สูงอายุ ซึ่งมีข้อมูลรั่วไหลมากถึง 19.7 ล้านแถวข้อมูล ทำให้อาจกระทบต่อสิทธิ ความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ แลพข้อมูลทางการเงินของผู้สู้งอายุ
โดย วันนี้ (10 ก.พ. 2567) สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยี สภาผู้บริโภค แสดงความเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า กรมกิจการผู้สูงอายุ ในฐานะหน่วยงานของรัฐควรออกมายอมรับและแสดงความจริงใจอย่างโปร่งใสว่า “ข้อมูลขององค์กรรั่วไหลจริง อีกทั้งควรรีบแจ้งเตือนไปยังเจ้าของข้อมูลเพื่อให้ทราบและเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สังคมไทยก้าวเข้าสู่งสังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว สวนทางกับการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดส่งผลให้ผู้สูงอายุต้องเพิ่มความระมัดระวังในการกดลิงก์หรือการรับสายเบอร์แปลกมากยิ่งขึ้น”
สุภิญญา กล่าวอีกว่า รู้สึกกังวลใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะแม้จะมีพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือกฎหมายพีดีพีเอ (PDPA) แต่ยังพบปัญหาในทางปฏิบัติที่ล่าช้าและขาดการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง
“ผู้สูงวัยส่วนใหญ่คือผู้อพยพทางเทคโนโลยี เพราะเป็นกลุ่มที่เกิดและเติบโตในยุคแอนะล็อก (Analog) แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านมายุคดิจิทัล (Digital) ทำให้อาจยังไม่มีภูมิคุ้มกันหรือความเท่าทันเทคโนโลยีเท่ากับวัยรุ่นที่เป็นคุ้นเคยกับดิจิทัลตั้งแต่เด็ก ดังนั้น จึงควรมีมาตรการหรือระบบที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำเนินชีวิตในยุดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย”
สุภิญญา กลางณรงค์
ทั้งนี้ สุภิญญามีข้อเสนอให้รัฐบาลออกแบบระบบที่เหมาะสมสำหรับสังคมสูงวัย เช่น การจ่ายหรือโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ ควรออกแบบตัวเลือกการโอนเงินให้มีการหน่วงเวลาไป 15 หรือ 30 นาที กล่าวคือ เมื่อมีการโอนเงิน ระบบจะเว้นระยะเวลา 15 หรือ 30 นาทีก่อนที่เงินจะเข้าบัญชีปลายทาง เพื่อให้ผู้สูงอายุมีเวลาตรวจสอบให้ดี และจะช่วยชะลอไม่ให้เกิดความเสียหายในการทำธุรกรรมสำหรับกรณีที่ผู้สูงวัยถูกหลอกโอนเงินให้มิจฉาชีพได้
นอกจากนี้ รัฐควรเผยแพร่ความรู้ เตือนภัย และมีข้อแนะนำในการใช้เทคเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงอายุอย่างสม่ำเสมอ เช่น แนะนำว่าหากมีเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรเข้า ไม่ควรรับสาย แต่ให้ใช้วิธีการโทรกลับเพราะหากเป็นแบอร์ของมิจฉาชีพจะไม่มีคนรับสาย เป็นต้น