รวมทุกคดี ‘อานนท์’ มีโทษจำคุก 22 ปี 25 เดือน 20 วัน กฎหมายนิรโทษกรรมถูกชะลอ ขณะที่คดีทางการเมืองมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ‘ธงชัย วินิจจะกูล’ ยื่นคำร้องต่อศาล ยุติใส่ตรวนทนายอานนท์
วันนี้ (28 พ.ค. 2568) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า “ศาลอาญาพิพากษาคดี ม.112 ชุมนุมหน้า สน.บางเขน ปี 63 ของ “อานนท์ นำภา” ลงโทษจำคุก 2 ปี รวมทุกคดี โทษจำคุก 22 ปี 25 เดือน 20 วัน” ซึ่งก่อนจะมีการพิจารณาคดีในวันนี้ อานนท์ ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 2566 หลังถูกศาลชั้นต้นพิพากษาโทษจำคุกในคดีอาญา มาตรา 112

สืบเนื่องจากศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีของ “อานนท์ นำภา” ทนายความสิทธิมนุษยชนในข้อหาหลัก ‘หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์’ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากเหตุขึ้นปราศรัยหน้า สน.บางเขน เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 ขณะเข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดี 112 กรณีการปราศรัยใน #ม็อบ29พฤศจิกา ที่หน้ากรมทหารราบที่ 11
คดีนี้เกิดจาก เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 นักกิจกรรมได้จัดขบวนแห่ขันหมากไปให้กำลังใจ 8 ผู้ต้องหา ที่เข้ารับทราบข้อหาในคดี #ม็อบ29พฤศจิกาไปราบ11 ที่หน้า สน.บางเขน ต่อมามีผู้ถูกดำเนินคดีจากกิจกรรมนี้จำนวน 7 คน โดยแยกเป็นคดีข้อหาหลักตามมาตรา 112 จำนวน 3 คน ได้แก่ อานนท์ นำภา, “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ “ไบรท์” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง ส่วนที่เหลือถูกกล่าวหาเฉพาะข้อหาหลักตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมของ “เยาวชนปลดแอก” 18 ก.ค. 2563 – 30 เม.ย. 2568 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดี ไปแล้วอย่างน้อย 1,972 คน ในจำนวน 1,325 คดี
ขณะที่กฎหมายนิรโทษกรรม หนึ่งในเครื่องมือที่นักสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการมองว่าจะช่วยยกเลิกคดีที่เกิดจากความเห็นต่างทางการเมือง และจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต นับตั้งแต่ช่วงรัฐประหารปี 2549 จนมาถึงการเคลื่อนไหวปัจจุบัน ถูกชะลอออกไปอีกครั้ง เมื่อพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน ยังไม่เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมของพรรคต่อสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมนี้

ขณะที่วันนี้ ศ.ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ พร้อมตัวแทนจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ยื่นคำร้องขอให้ยุติการกระทำการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จากกรณีการใส่กุญแจเท้า อานนท์ นำภา
โดยระบุว่า ปัญหาหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมที่มักถูกมองข้ามคือการราชทัณฑ์และเรือนจำ รวมทั้งปัญหาที่น่าจะแก้ไขได้ไม่ยากก็กลับไม่มีการปรับปรุงแก้ไขแต่อย่างใด เช่น การใส่เครื่องพันธนาการผู้ต้องหา กฎหมายแทบทุกฉบับให้ผู้ควบคุมมีอำนาจใช้ดุลพินิจใส่เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขังบางรายได้ แล้วแต่กรณี แต่บางช่วง (รวมถึงปัจจุบัน) เหมารวมไปหมดว่าผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี ทั้งยุ่งยากต่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จึงให้ใส่เครื่องพันธนาการทุกราย
“การเหมารวมเช่นนี้เท่ากับทำให้ข้อยกเว้นกลายเป็นแนวปฏิบัติทั่วไป เป็นการเหมารวมอย่างโหดร้ายไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่สนใจกับมนุษยธรรมและความเป็นมนุษย์ของนักโทษส่วนใหญ่ เอาปัญหาที่เกิดจากนักโทษจำนวนน้อย นาน ๆ สักครั้งหนึ่ง และความสะดวกไม่สะดวกของเจ้าหน้าที่มาเป็นเหตุผลที่ก่อให้เกิดความการปฏิบัติอย่างโหดร้ายกับนักโทษอื่น ๆ ทั้งหมดเช่นนี้จึงย่อมไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง”
ศ.ธงชัย จึงมีความเห็นร้องต่อศาลไปว่า พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ทุกฉบับ รวมทั้งฉบับ พ.ศ. 2560 ที่ใช้ปัจจุบัน มาตรา 21 บัญญัติห้ามใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง เว้นแต่เพียงบางกรณี เช่น เมื่อผู้ต้องขังถูกคุมตัวไปนอกเรือนจำและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องใช้เครื่องพันธนาการ จะเห็นได้ว่าเจตจำนงของกฎหมายห้ามใช้เครื่องพันธนาการ แต่ให้ใช้ได้เป็น “ข้อยกเว้น” เท่าที่จำเป็น เช่น กรณีนักโทษอุกฉกรรจ์ หรือสงสัยหรือมีประวัติพยายามหลบหนี นักโทษส่วนข้างมากมิได้มีพฤติกรรมหรือประวัติเช่นนั้น และมิได้มีข้อหาหรือประกอบอาชญากรรมอย่างอุกฉกรรจ์แต่อย่างใด แต่ทว่า ทุกวันนี้การใส่เครื่องพันธนาการได้กลายเป็นแนวปฏิบัติอย่างเป็นปกติ สำหรับแทบทุกกรณีเมื่อออกจากเรือนจำ ไม่ใช่ข้อยกเว้นอีกต่อไป
“ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21 ระบุไว้ว่าห้ามใส่เครื่องพันธนาการ ให้ยกเว้นเป็นกรณี เช่น ป้องกันผู้ต้องหาหลบหนี แต่ทุกวันนี้ถ้าไปดูที่ใต้ถุนศาล ผู้ต้องหาทุกคนใส่กุญแจข้อเท้าหมด ทำเป็นปกติ ไม่ใช่กรณียกเว้น แต่เมื่อเราต้องการให้ปลดกุญแจเท้าอานนท์ เรากลับต้องมายื่นคำร้องเป็นกรณี ซึ่งมันกลับหัวกลับหางกันไปหมด”
อย่างไรก็ตาม ศ.ธงชัย ระบุว่า การยื่นคำร้องในครั้งนี้ จะเป็นทางออกในทางปฏิบัติที่เป็นคุณต่อผู้ต้องขังทุกคนทุกกรณี อีกทั้งแนวปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายเข้ารูปเข้ารอยตามเจตจำนงของกฎหมาย และใช้กับทุกกรณี หากศาลรับฟังคำร้องนี้ ผลของการร้องครั้งนี้จึงมิใช่การแสวงหาอภิสิทธิ์ให้กับอานนท์เพียงคนเดียวแต่อย่างใด
ขณะที่ก่อนหน้านี้ อานนท์ ได้รับรางวัล Front Line Defenders Award for Human Rights Defenders at Risk ประจำปี 2025 จากองค์กร Front Line Defenders ในฐานะทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่มีบทบาทส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แม้ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอันตรายในชีวิตส่วนตัว
ก่อนหน้านี้มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในทวีปเอเชียหลายคนเคยได้รับรางวัลนี้ ทั้งจากจีน กัมพูชา ศรีลังกา อัฟกานิสถาน ฟิลิปปินส์ เป็นต้น แต่ไม่เคยมีคนไทยได้รางวัลนี้มาก่อน ซึ่งทนายอานนท์ นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล Front Line Defenders
อ้างอิง
- เปิดคำแถลง “ธงชัย วินิจจะกูล” กรณียื่นคำร้องขอศาลไต่สวนการใช้เครื่องพันธนาการกับ อานนท์ นำภา ย้ำ “กุญแจเท้าต้องใช้เป็นกรณียกเว้นเท่านั้น”
- บันทึกสืบพยานคดี ม.112 “อานนท์ นำภา” ชุมนุมหน้า สน.บางเขน ปี 63 ยืนยันปราศรัยด้วยเจตนาดี ชี้ข้อบกพร่องของสถาบันกษัตริย์ฯ ให้ปรับตัว-ดำรงอยู่ได้