ญาติวีรชนฯ เสนอไม่แตะ ม.112 ป้องกันซ้ำรอยนิรโทษสุดซอย ‘ณัฐวุฒิ’ เห็นพ้อง 2 ข้อเสนอเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ยันเดินหน้ากฎหมายสันติสุข ทันสมัยประชุมนี้ อาจเพิ่มฐานความผิดทางการเมือง
วันนี้ (7 ส.ค. 68) เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน และ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข ในวันเดียวกัน โดยมี ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข, ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.พรรคประชาชน, เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ, ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข และ รศ.เวียงรัฐ เนติโพธิ กรรมาธิการ มารับข้อเสนอ
โดยข้อเสนอของเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน มี 4 ข้อ เนื้อหาโดยสรุป คือ
- ขยายช่วงเวลา การนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน หรือจนกฎหมายมีผลบังคับใช้
- เพิ่มฐานความผิดที่ได้รับนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมข้อหาที่มักถูกละเลย เช่น ครอบครองอาวุธ, กีดขวางทางสาธารณะ, ละเมิดอำนาจศาล
เนื่องจากจากยอดผู้ถูกดำเนินคดีไม่น้อยกว่า 1,977 คน จากจำนวน 1,331 คดี จะมีคดีที่ถูกกล่าวหาในข้อหาซึ่งไม่มีในบัญชีแนบท้ายของร่างนิรโทษกรรมทั้ง 3 ฉบับ อยู่อย่างน้อย 805 คดี คิดเป็นผู้ถูกดำเนินคดีค้างอยู่กว่า 1,218 คน ที่จะไม่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมตามกฎหมายนิรโทษกรรรมที่ผ่านวาระหนึ่ง - นิรโทษกรรมเยาวชน ครอบคลุมทุกฐานความผิด จำนวน 268 คน ใน 220 คดี
- เปิดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม ในคณะกรรมการพิจารณานิรโทษกรรม ไม่จำกัดแค่เจ้าหน้าที่รัฐหรือฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย
รวมถึง นอกจากการพิจารณาคดีทางอาญาแล้ว ยังจำเป็นต้องมีการพิจารณาถึงช่องทางเริ่มต้นในการเยียวยาด้วย

ขณะที่ข้อเสนอของคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 มีสาระโดยสรุป คือ
- ให้แปรญัตติร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข โดยอิงแนวทางของ สปช. และสภาผู้แทนราษฎร ที่เคยเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ เพื่อไม่ให้เสียเวลา
- การพิจารณาแก้ไขต้องอยู่ในกรอบหลักการเดิมของร่างกฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะขัดรัฐธรรมนูญ และอาจซ้ำรอยร่างนิรโทษกรรมสุดซอย
- ไม่ควรเพิ่ม ม.112 เข้าไปในร่างฯ เพราะไม่ได้รับความเห็นชอบในวาระแรก และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรใช้ช่องทางอื่น เช่น การถวายฎีกาหรือขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายกรณี
- จากสถานการณ์ชายแดนที่เกิดขึ้นที่ยืดเยื้อ เร่งพิจารณาแปรญัตติร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
“คณะกรรมการญาติวีรชนฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หากร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขฯ มีผลบังคับใช้ มีการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง จะทำให้สังคมไทยเกิดความปรองดอง สมานฉันท์ คนในชาติเกิดความรัก สามัคคี บรรยากาศทางการเมืองจะกลับคืนสู่ปกติ ประชาชนทุกภาคส่วนจะได้ร่วมมือกันพัฒนาประเทศชาติ ให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าสืบไป”
‘ณัฐวุฒิ’ ลั่น คลอดกฎหมายได้ทันสมัยประชุมนี้
ด้าน ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข ระบุว่า ที่ผ่านมาในการประชุม มี 2 ประเด็นที่เห็นพ้องกับข้อเสนอของภาคประชาชน คือ เรื่องของขยายกรอบเวลาการนิรโทษกรรม เป็นตั้งแต่ 2548 – วันที่กฎหมายบังคับใช้ และเรื่องฐานความผิดจำเป็นต้องมีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มฐานความผิดตามบัญชีแนบท้าย
ขณะที่เรื่องของ ห้วงเวลาการพิจารณาร่างกฎหมายของกรรมาธิการ ณัฐวุฒิ ตั้งเป้าว่าจะใช้ระยะเวลาราว 2 เดือน ในการจัดทำร่างกฎหมายเป็นความเห็นตรงกันของคณะกรรมาธิการ ว่าจะเดินหน้าเร็วและทำเรื่องนี้ ให้ทันเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2-3 ภายในสมัยประชุมนี้
“ดังนั้นเวลาในกรรมาธิการ 2 เดือนบวกลบ คิดว่าจะต้องทำกันให้เสร็จ จะต้องเพิ่มเวลาประชุม หรือจะต้องขยายเวลาเป็นช่วงเย็นช่วงค่ำ ได้ขอความร่วมมือและตกลงกันไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับบรรยากาศ ขึ้นอยู่กับประเด็นที่นำมาหารือในชั้นกรรมาธิการด้วย”
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ยอมรับระบุฐานความผิดทางการเมืองเพิ่มเติม ย้ำชัดไม่นิรโทษฯ คดี ม.112
ณัฐวุฒิ ยังบอกถึงการกำหนด 25 ฐานความผิดในบัญชีแนบท้ายในชั้นกรรมการสามารถเพิ่มเติมได้ ซึ่งหลังจากที่ประชุมได้มีมติครั้งก่อนได้พูดเป็นปลายเปิด ว่าหากหลังจากนั้นพบว่ามีฐานความผิดอื่น ที่ประชาชนผู้ต้องคดีความทางการเมือง ถูกดำเนินการอยู่และยังมีการระบุให้ครอบคลุม ก็จะเพิ่มให้ครอบคลุม
อย่างไรก็ตามกรณีการนิรโทษคดีมาตรา112 ว่าจากการลงมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระแรกไม่มีการนิรโทษในคดีความดังกล่าว ซึ่งการหารือเพื่อหาทางออกในกรณีนี้ เชื่อว่ายังอยู่ในวิสัยที่ทำได้ แล้วก็ไม่ได้เกิดกลายเป็นความขัดแย้งใหม่ เพราะว่าเป็นการพูดคุยกันความจริงด้วยหลักเหตุผล หลักเมตตาธรรม