ถอดบทเรียนสำคัญ กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับใหม่

กรรมาธิการฯ เผย จุดร่วมกฎหมายท่ามกลางความเห็นต่าง เน้นสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสุขภาพสาธารณะ และการเคารพสิทธิผู้บริโภค-ผู้ผลิตรายย่อย เมื่อร่างผ่านสภาฯ แล้ว รอประกาศใช้และออกกฎหมายลูก

สืบเนื่องจากร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ … พ.ศ. …ผ่านการพิจารณาในขั้นสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้ว เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 68โดยมีเนื้อหาสาระโดยสรุปว่า

  • ห้ามโฆษณาเพื่อจูงใจให้คนอยากดื่ม แต่ให้ข้อมูลความรู้ได้ ถ้าทำตามกติกาที่กำหนด 
  • ห้ามใช้คนมีชื่อเสียงมาชวนคนดื่มเหล้า เว้นแต่ให้ความรู้เฉพาะกลุ่ม
  • ห้ามโฆษณาสินค้าอื่น โดยใช้ชื่อ โลโก้ หรือสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้คนเข้าใจว่าเป็นการโฆษณาเหล้า เบียร์ หรือแอลกอฮอล์
  • ห้ามสนับสนุนกิจกรรมสาธารณะ (เช่น งานเพื่อสังคมหรือกิจกรรมช่วยเหลือชุมชน) โดยแฝงการส่งเสริมให้คนอยากดื่มแอลกอฮอล์

รวมถึงยกเลิกเรื่องช่วงเวลาห้ามจำหน่าย ตั้งแต่ 11.00 น. ถึง 14.00 น. และ 17.00 น. ถึง 24.00 น. แต่ยังคงมีอนุบัญญัติเดิมที่กำหนดเวลาขายไว้ซึ่งขึ้นอยู่กับมติคณะกรรมการ 

ส่วนข้อถกเถียงเรื่องของการขายผ่านตู้อัตโนมัติ เป็นเรื่องของอนาคต แต่การวางต้องไม่ตั้งในสถานที่ เช่น วัด โรงเรียน สถานที่ราชการ สถานพยาบาล ปั๊มน้ำมัน และต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ซึ่งเรื่องนี้อาจจะต้องคุยรายละเอียดและออกข้อกำหนดอีกครั้ง 

ซึ่งอยู่ระหว่างรอทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ซึ่งกฎหมายจะมีผลบังคับใช้หลังจากประกาศนั้น 60 วัน

เวที “ถอดบทเรียน แก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากแตกต่างสุดขั้วสู่จุดร่วมสร้างสมดุล” 

ขณะที่ 15 ส.ค. 68  คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ร่วมกับมูลนิธีชีววิถี ร่วมกันจัดเวที “ถอดบทเรียน แก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากแตกต่างสุดขั้วสู่จุดร่วมสร้างสมดุล”  ซึ่งพบว่า การผลักดันร่างกฎหมายครั้งนี้มีความท้าทาย เนื่องจากมีร่างกฎหมายถึง 5 ฉบับ และเป็น 5 ฉบับที่มีจุดยืนที่แตกต่างกัน 

วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่าในการพิจารณาในแต่ละขั้นตอนมีความท้าทายและยาก เพราะต่างฝ่ายต่างมีความคิดของตนเอง และมีข้อมูลข้อเท็จจริงมาพิจารณาร่วมกัน มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล เพื่อนำมาสู่การหาจุดร่วม 

นพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ร่างกฎหมายฉบับนี้ มองว่ากฎหมายต้องถูกปรับปรุง ซึ่งก่อนหน้านี้มีการเตรียมข้อมูลร่าง ก่อนที่จะมีการระบาดของ โควิด-19 มีการปรับปรุงเรื่องของประสิทธิภาพ มีการเพิ่มเติมมาตรการ แต่เมื่อร่างของกฎหมาย ถูกนำเข้ามาพิจารณาร่วมกับอีก 4 ฉบับ พบว่ามีความเห็นที่แตกต่าง  ด้านหนึ่งคือยกเลิกไม่ให้มีสำนักงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกด้านหนึ่งคงสำนักงานไว้ แต่สุดท้ายแล้วสำนักงานยังทำหน้าที่เป็นกึ่งเลขาที่จะต้องทำหน้าที่

“ตอนที่กฎหมายออกมาในสำนักงานก็ชนกัน อีกด้านหนึ่งบอกว่าเราเป็นผู้ล่าแม่มดไปไล่เก็บเงิน อีกด้านก็บอกว่าเราไม่ได้ทำงานอะไร ปล่อยปละละเลย แต่ข้อเท็จจริงคือว่าละเมิดหลายครั้งเป็นร้านย่อย ๆ เพราะมันจะต้องมีการปรับ ก็กลายเป็นว่าผู้ประกอบการรายย่อยโดน ก็ถูกกล่าวหาว่าเราไปทำร้ายร้านเล็กแต่จริง ๆ กฎหมายมันถูกเขียนไว้เป็นกฎหมายอาญา ซึ่งกฎหมายอาญามันมีโทษอยู่แค่สองอันคือโทษปรับกับโทษจำ เราไปตักเตือนก็ไม่ได้ เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนอำนาจไว้ให้เราตักเตือน” 

นพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กระทรวงสาธารณสุข

นพ.นิพนธ์ กล่าวว่า ฉะนั้นเวลาที่ลงพื้นที่ตรวจ เจ้าหน้าที่หลายพื้นที่จึงใช้วิธีการตักเตือน แต่ห้ามบันทึก เพราะถ้าเมื่อไหร่บันทึกแล้วตำรวจมาเจอ อาจจะถูกกล่าวว่าละเว้นหน้าที่ ฉะนั้นเวลาที่จะต้องแก้ไขปรับปรุง จึงมีการถกเถียงกันหลายเรื่องหลายประเด็น รวมถึงประเด็นเรื่องของการให้มีการตักเตือน 

“มันเป็นมิติที่เรามองความหลากหลาย แต่โดยเจตนารมณ์ถ้าไปดูแนบท้าย มันไม่ได้ห้ามดื่ม ไม่ได้ห้ามขาย แต่จะทำอย่างไรให้ผลกระทบตามมาน้อยที่สุด รวมถึงเรื่องจะปกป้องเด็กและเยาวชนได้ยังไง”

“กฎหมายเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับเรื่องการควบคุม แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องของการควบคุมเพราะความจริงกฎหมายควบคุม เริ่มตั้งแต่ทำอย่างไรให้คนไม่ดื่ม มันคือการรณรงค์ตั้งแต่แรก สองคือคนที่ดื่มกระทั่งแย่แล้วก็ต้องดูแล ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางที่บอกว่าเขาก็มีสิทธิ์ในการบริโภค ฉะนั้นเวลาที่มีการคุย จึงจำเป็นต้องมองให้รอบด้าน”  นพ.นิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติม

“ไม่มีใครยกแก้วเหล้าแทนใคร เพราะฉะนั้นวิธีการก็คือจะทำยังไงให้ทุกคนมีการตัดสินใจได้เอง แต่แน่นอนบางเรื่องในเชิงกฎหมายในฐานะที่ต้องคุ้มครองสิทธิ์ก็ต้องว่ากันด้วยเรื่องกฎหมายว่าจะออกมาอย่างไรเราก็ดำเนินการไปตามนั้น ฉะนั้นจึงถือว่าในการหารือของกฎหมาย 5 ฉบับที่เกี่ยวข้อง ก็ถือเป็นโอกาสเข้าเรียนรู้”

ซึ่งกระบวนการที่เกิดขึ้นในการขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้คือการรับฟังซึ่งกันและกัน เพื่อหาจุดตรงกลางที่พอเป็นไปได้และสุดท้าย ก็จะมีกฎหมายลูกออกมาอีกคงไม่ได้สุดโต่ง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าไม่ควบคุมอะไรเลยนี่จึงเป็นข้อที่ต้องหารือกัน

ด้าน รศ.เจริญ เจริญชัย อาจารย์คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี นักวิชาการที่สอนเกี่ยวกับการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า รู้จักกับผู้ผลิตรายย่อยทั่วประเทศอย่างคนทำสุราชุมชนหรือกระทั่งผู้ผลิตที่เติบโตมาเป็นธุรกิจขนาดกลาง แต่พบว่าในเรื่องของการโฆษณามีผู้ประกอบการรายเล็กถูกดำเนินคดี จึงมองว่ากฎหมาย ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลกับรายเล็กโดยเฉพาะใน มาตรา 32  

รศ.เจริญ เจริญชัย อาจารย์คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี(คนกลาง)

รศ.เจริญ กล่าวถึงสถานการณ์ของกรรมาธิการฯ ในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ว่า ก่อนหน้านี้แตกต่างกันสุดขั้ว ขณะที่ว่าไม่มองหน้ากัน ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ตอนนี้คุยกันได้นั่งข้างกันได้รวมถึงมีการสื่อสารเพื่อที่จะทำงานร่วมกัน 

“มีคนในวงการแอลกอฮอล์เคยพูดเหมือนกันว่าไม่ควรไปแก้ เพราะว่าถ้าคุณเสนอไปแก้เขาจะแก้ให้มันเข้มงวดขึ้น แต่ในแนวคิดผมถ้าเราไม่แก้เลย เราก็จะไม่ได้อะไรเลย เพราะฉะนั้นก็เลยเกิดกระบวนการที่เสนอเข้าสภาและเป็นสิ่งที่ดีที่มีฝ่ายการเมืองเขาเสนอเข้ามาอีก 2 ร่างคือของพรรคเพื่อไทยและของพรรคประชาชนและก็มีร่างของรัฐบาล”

ทั้งนี้กล่าวว่าขณะที่ร่างของฝ่ายรณรงค์และของกระทรวงสาธารณสุข มีเนื้อหาค่อนข้างที่จะหนักแน่นขึ้น เคร่งครัดขึ้น เพราะบทบาทของสาธารณสุขก็จะต้องป้องกันในเรื่องของสุขภาพส่วนฝ่ายรณรงค์ก็ชัดเจนในเรื่องของสังคม

ขณะที่ ชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และเป็น ผู้เสนอกฎหมายฝ่ายรณรงค์ กล่าวว่า ความคาดหวังคือการควบคุมและลดปัญหาที่มีผลมาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้อเท็จจริงในหลักการสายของฝ่ายรณรงค์และสุขภาพจะมีคัมภีร์ ของ WHO ซึ่งจะมีเรื่องของมาตรการที่ลงทุนน้อยที่สุด อาทิ เรื่องของการห้ามโฆษณา เรื่องภาษี ซึ่งตอนแรกของการเสนอร่างกฎหมายอยากได้สิ่งนั้น  แต่เมื่อเดินทางมาถึงจุดหนึ่ง การยอมลดเงื่อนไขบางอย่างกลับถูกมองว่าเปลี่ยนยืนหรือเปล่า 

“นั่นคือสิ่งที่ WHO คิด แต่ที่นี่ประเทศไทยซึ่งก็จะมีความไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ อยู่…ผมเห็นว่ามันมีจุดร่วมหลายอันที่เราพยายามค้นหามันมาด้วยกัน พอคุยกันไปมากขึ้น เราพบว่าเราจะปกป้องเด็กปกป้องเยาวชนด้วยกัน เรื่องของการไม่ทำให้คนเมาเพิ่มบนท้องถนน หรือหลักการของการกระจายอำนาจเริ่มมีคำพวกนี้เกิดขึ้นมาจากการค่อยค่อยพูดคุย”

ชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว

ชูวิทย์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ในระหว่างที่มีการพิจารณาร่างกฎหมายแต่ละขั้นตอนได้มีการเชิญผู้รู้เรื่องของแอลกอฮอล์เพื่อที่จะไปพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงแนวคิดรวมถึงไปคุยกับทางเครือข่ายผู้ประกอบการในหลายพื้นที่ ซึ่งค้นพบว่ากระบวนการเหล่านี้ข้อดีคือมันทำลายอคติบางอย่างสำคัญที่สุดคือมันทำให้เห็นความเป็นมนุษย์มากขึ้น 

“แน่นอนว่าถ้าดื่มไปจนล้ำเส้นสิทธิเสรีภาพตรงนั้นผมว่าเลย แต่การกินดื่มภายใต้ที่เป็นเรื่องมนุษยชาติเขาว่ากันก็เป็นอีกเฉดหนึ่งที่มีอยู่จริง ดังนั้นมันมาถึงในจุดที่เรารู้สึกว่าเราต้องกลับมามองความเป็นจริงมากขึ้น ผมพยายามอธิบายว่าตัวของกระบวนการการพูดคุยแบบนี้น่าจะเป็นในการทำให้กฎหมายหลายฉบับที่มีกฎหมายของภาคประชาชนเข้าไปเสียบอยู่ด้วยน่าจะเป็นประโยชน์”

อย่างไรก็ตาม ชูวิทย์ บอกว่าต้องมีความยืดหยุ่นผ่อนปรนกลับมาอยู่ในจุดที่สมดุลและรับฟังทุกฝ่ายภายใต้การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ด้าน เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร กรรมาธิการฯและผู้เสนอกฎหมาย พรรคประชาชน ซึ่งเข้าร่วมเสวนาผ่านทางออนไลน์ กล่าวว่า ขั้นตอนกระบวนการสำคัญที่เราได้มาคุยกันภายใต้กติกาที่เป็นกรรมาธิการหรือกลไกลสภา แน่นอนว่าถ้าไม่มีกลไกนี้ความขัดแย้งของสังคมก็ไม่มีการแก้ไข

การทำงานของทุกคนจะเป็นตัวอย่างให้นักประชาสังคมหรือคนที่มีปัญหาในประเด็นอื่น รวมกลุ่มการเสนอและใช้เวลา ในการพูดคุยเจรจาแต่ผลลัพธ์ก็ออกมาค่อนข้างภูมิใจ

“ถ้าต้องพูดว่าผมเป็น สส. ผมรู้สึกภูมิใจกับเรื่องนี้เป็นลำดับต้น ๆ เราได้สัมผัสและได้เห็นว่ากระบวนการมันเวิร์ก กว่าจะมาถึงขั้นนี้ก็ลำบากกว่าจะเปลี่ยนความคิดคนในสภาให้รับทุกร่างได้ ก็ไม่ปกติเพราะ ในสภาส่วนใหญ่รับแต่ร่างของรัฐบาลอยู่แล้ว”

เท่าพิภพ เชื่อว่าต่อไปถ้ามีประเด็นที่ภาคประชาชนเสนอก็หวังว่าทางรัฐบาลและฝ่ายค้านจะรับร่างของภาคประชาชนเป็นหลัก อีกทั้ง กฎหมายมีความชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะการคุ้มครองประชาชน เรื่องการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียเดิมคนโพสต์ถูกปรับหมด ได้มีการแก้ไขว่าหากโพสต์ผ่านสื่อออนไลน์ไม่มีเจตนาโฆษณาหรือเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ก็ไม่มีความผิด แต่ที่เราอยากเห็นคือการห้ามโฆษณาให้คนอายุต่ำกว่า 20 ปีส่วนคนเกิน 20 ปี สามารถรับรู้การโฆษณาได้ประเด็นนี้ต้องว่ากันต่อไปในอนาคต

ผศ.เจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระบวนการในการพูดคุยเพื่อให้ได้จุดร่วมหนึ่ง คือ การเปิดใจและทำความเข้าใจว่าอาจจะทำให้เราเจอความเห็นที่ไม่เหมือนกับเรา และเราได้เปิดใจรับฟังเขาด้วย จากการอภิปรายอย่างเต็มที่มันทำให้เรารับฟังและได้เห็นความเห็นของอีกฝ่ายว่าเป็นอย่างไรตั้งแต่ประเด็นแรกวันแรก ซึ่งแน่นอนว่าบางทีเรามีอคติอยู่ในใจเราก็ต้องเปิดใจฟังเพื่อที่จะเริ่มเข้าใจว่าความเห็นของเขาต้องการสิ่งใด แต่สังคมแท้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าสังคมไทยดูแลปลายทางยาก 

นพ.นิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติม ตอนนี้ร่างกฎหมายผ่านทั้งระดับสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้วฉะนั้นเบื้องต้นตอนนี้มีการตรวจเนื้อหาก่อนที่จะมีการเสนอกฤษฎีกาในสัปดาห์หน้า ซึ่งเนื้อหามีตั้งแต่เรื่องของการยกเลิกคำสั่ง คสช. 22/2558 รวมถึงเรื่องประมวลกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพราะประมวลกฎหมายที่ถูกยกเลิกเลิกไป ทำให้กฎหมายที่เกี่ยวกับการห้ามดื่มหรือสถานที่ห้ามขายต้องนำมาไว้ใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ด้วย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active