ศาลแพ่ง เลื่อนไต่สวนรับฟ้องคดีแบบกลุ่ม ปมผลกระทบ ‘ปลาหมอคางดำ’

‘สภาทนายความฯ’ เผย เอกชน ยื่นคำคัดค้าน ชี้ ชาวบ้านไม่มีอำนาจฟ้อง อ้างไม่ได้มีส่วนทำให้ปลาหมอคางดำแพร่ระบาด เตรียมเดินหน้าช่วยเหลือชาวประมงใน 19 จังหวัดที่พบการระบาด ยื่นฟ้องคดีเพิ่ม

วันนี้ (4 พ.ย. 67) ตัวแทนชาวบ้าน จ.สมุทรสงคราม ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เดินทางมาที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อเข้ารับฟังการไต่สวนว่าจะรับฟ้องคดีแบบกลุ่มหรือไม่ หลังจากตัวแทนชาวบ้านนำโดย ปัญญา โตกทอง กับพวกรวม 10 คน ฟ้อง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด มหาชน หรือ (CPF) จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 9 คน ด้วยข้อกล่าวหา การละเมิดสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ศาลได้เลื่อนนัดไต่สวนออกไปเป็นวันที่ 21, 24 และ 31 มกราคม 2568 เนื่องจากจำเลยยื่นคัดค้าน

ปัญญา โตกทอง

จรุงศักดิ์ ชะโกฏิ ประธานคณะทำงานคดีขอความช่วยเหลือกรณีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากปลาหมอคางดำ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยกับ The Active ถึงประเด็น ที่จำเลยยื่นคัดค้าน คือ จำเลยอ้างชาวบ้านไม่มีอำนาจฟ้อง, จำเลยที่ 1 ไม่ได้มีส่วนทำให้ปลาหมอคางดำแพร่ระบาด และ ระบุว่า ชาวบ้านสามารถฟ้องคดีแบบกลุ่มได้ ด้วยเหตุที่ว่าบางคนไม่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมประมง ซึ่งในประเด็นนี้ทนายยืนยันว่า ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ทำอาชีพประมงพื้นบ้าน และมีสิทธิที่จะฟ้องร้องในคดีนี้ 

ขณะที่การดำเนินคดีแบบกลุ่มกรณีปลาหมอคางดำในพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม เป็นการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการ ขาดรายได้ในอาชีพประมงเพาะเลี้ยง ประมงพื้นบ้าน และจากการถูกละเมิดสิทธิในการใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติ และขอให้บริษัทเอกชนแก้ไขฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่สูญเสียไปให้กลับสู่สภาพเดิม ด้วยค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ตามหลัก “ผู้ก่อ คือ ผู้จ่าย”

ปัญญา โตกทอง ตัวแทนผู้ร้อง บอกว่า ไม่รู้สึกกังวลใจเพราะจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏและจากที่สื่อมวลชนได้รายงาน เชื่อว่า ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ส่วนกรณีที่ทางหน่วยงานรัฐพยายามเข้าไปแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น ปลาหมอคางดำยังมีจำนวนมากเช่นเดิม เพราะหากปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำไม่หมด ในบ่อของชาวบ้านก็ไม่มีวันหมด เพราะจุดเริ่มต้นมาจากในคลอง จากลำน้ำสาธารณะ ส่วนกรณีประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ทาง จ.สมุทรสงคราม ยังไม่ดำเนินการอะไร การเยียวยาก็ยังไม่เคยเกิดขึ้น

สำหรับค่าสินไหมทดแทน ที่กลุ่มประมงฟ้องแพ่งครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

  • กลุ่มที่ 1 ประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา เรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้ตามจํานวนพื้นที่ที่เพาะเลี้ยงในอัตรา ไร่ละ 10,000 บาทต่อปี เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2560 – 2567) และค่าเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิ์การใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรอีกรายละ 50,000 บาท โดยกลุ่มประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํามีจํานวนสมาชิกกว่า1,000 ราย มีพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํารวมกันกว่า 27,000 ไร่ ค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้องเป็นเงินกว่า 1,982,000,000 บาท
  • กลุ่มที่ 2 ประมงพื้นบ้าน เรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้ ตามจํานวนวันในอัตราวันละ 500 บาท (ปีละ 182,500 บาท) เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2560 – 2567) และค่าเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรอีกรายละ 50,000 บาท โดยกลุ่มประมงพื้นบ้านมีจํานวนสมาชิกกว่า 380 ราย ค่าสินไหมทดแทนที่ เรียกร้องเป็นเงินกว่า 19,000,000 บาท

รวมเป็นเงินค่าสินไหมทดแทนที่กลุ่มประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําและกลุ่มประมงพื้นบ้านในเขต จ.สมุทรสงคราม เรียกร้องเป็นเงินกว่า 2,486,450,000 บาท

ฟ้องศาลปกครอง เอาผิด 18 เจ้าหน้าที่ – หน่วยงานรัฐ แก้ปัญหาปลาหมอคางดำ

วิเชียร ชุบไธวง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า นอกจากคดีแพ่ง ชาวประมงที่ได้รับผลกระทบ 54 คน ยังมอบอำนาจให้สภาทนายความ ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ 18 หน่วยงาน ต่อศาลปกครองกลาง ฐานความผิดละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วย

  1. กรมประมง

  2. อธิบดีกรมประมง

  3. คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ

  4. คณะกรรมการระดับสถาบันด้านความ ปลอดภัยและความหลากหลายทางชีวภาพของกรมประมง

  5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

  6. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

  7. กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

  8. อธิบดีกรม ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

  9. คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

  10. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

  11. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

  12. คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ

  13. คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณะแห่งชาติ

  14. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

  15. อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

  16. กระทรวงมหาดไทย

  17. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

  18. กระทรวงการคลัง 
วิเชียร ชุบไธวง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์

พร้อมทั้งเรียกร้องให้เร่งประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ เพื่อนำเงินฉุกเฉินเยียวยาต่อผู้ฟ้องตามเวลาที่ศาลกำหนด นอกจากนี้ให้ผู้ถูกฟ้องติดตามเงิน จาก CPF ชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐตามมูลค่าความเสียหาย ซึ่งคดีนี้เป็นการฟ้องหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายหลายฉบับ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ 2560, รัฐธรรมนูญ 2550, รัฐธรรมนูญ 2549, พ.ร.ก.ประมง 2558. พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2535, พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 2558 และ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 2550

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active