ถึงเวลาไทย ต้องมี ‘กม.Anti-SLAPP’ หลัง BIOTHAI ถูกเอกชนฟ้องหมิ่น ปมระบาด ‘ปลาหมอคางดำ’

ย้ำ ป้องปรามกลุ่มธุรกิจ ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ กลั่นแกล้งนักปกป้องสิทธิ์ เชื่อ กม.Anti-SLAPP ช่วยหนุนประชาชน กล้าลุกขึ้นมาตั้งคำถาม ตรวจสอบ ประเด็นสาธารณะมากขึ้น ชี้ รัฐมีแต่ได้ประโยชน์

จากกรณีที่บริษัท ซีพีเอฟ ยื่นฟ้องในคดีหมิ่นประมาทต่อ มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) และ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิฯ จากการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของปลาหมอคางดำ เชื่อมโยงกับฟาร์มยี่สาร จ.สมุทรสงคราม ในระหว่างการประชุมวิชาการเพื่อแก้ปัญหาปลาหมอคางดำเมื่อเดือนกันยายน ปี 2567 และล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา อัยการจังหวัดนนทบุรี มีคำสั่งฟ้องดังกล่าว จากนี้คือขั้นตอนการนัดคุ้มครองสิทธิ และสอบคำให้การจำเลย โดยศาลกำหนดนัดหมายในวันที่ 22 ตุลาคม นี้

วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาฯ BIOTHAI เดินทางไปที่ศาลจังหวัดนนทบุรี หลังอัยการมีคำสั่งฟ้อง
กรณีซีพีเอฟฟ้องหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีการระบาดปลาหมอคางดำ (ภาพ : BIOTHAI 10 ก.ย. 68)

วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) ในฐานะจำเลยคดีนี้ เปิดเผยกับ The Active ไม่คิดว่าอัยการจะสั่งฟ้อง เนื่องจากข้อมูลที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นข้อมูลทางวิชาการ และมีข้อมูลจำนวนมากที่มีแหล่งอ้างอิง หลักฐานจากหน่วยงานราชการพยานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อเกิดการฟ้องขึ้นแล้ว สร้างความยุ่งยากให้กับการต่อสู้ และขับเคลื่อนแก้ปัญหากรณีปลาหมอคางดำ  

วิฑูรย์ ยังเชื่อว่า นี่เป็นการฟ้องเพื่อปิดปาก หรือที่เรียกว่า SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) เพราะหากดูข้อมูลทั้งหมดของกรณีการฟ้องปิดปากทั่วโลก จะพบว่า กว่า 65% เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิ่งแวดล้อม แม้ว่าทางซีพีเอฟจะออกมาปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่การฟ้องปิดปากก็ตาม

“ข้อมูลบางส่วนสำคัญตอนนี้ไม่สามารถเผยแพร่ได้ เพราะจะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางคดีในศาลแทน ทั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นควรถูกเผยแพร่ต่อประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อที่ปัญหาจะถูกแก้” 

วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ

เลขาธิการ BIOTHAI ยังบอกอีกว่า หลังจากนี้มีเรื่องที่ต้องทำอยู่ 3 อย่าง นั่นคือ

  • ประเทศไทยควรจะมีกลไกการป้องกันไม่ให้เกิดคดีฟ้องปิดปากในลักษณะนี้อีก นั่นคือการเสนอกฎหมายเช่นเดียวกับหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแคนาดา เวียดนาม หรือบางรัฐในสหรัฐอเมริกา 

  • กระบวนการตื่นตัวทางสังคม โดยมองว่า การมีกฎหมายจะสร้างการตื่นตัวให้กับประชาชนตั้งคำถามต่อกลไก และกระบวนการของประเทศ ซึ่งจะส่งผลแง่บวกในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น การไม่ยอมรับของประชาชนต่อบริษัทนั้น ๆ ในบางประเทศ จนนำไปสู่การแบนสินค้า หรือบริการจากบริษัทเหล่านั้น 

  • กลไก องค์กรระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมเรียกร้องให้แต่ละประเทศปกป้องคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชน   
ภาพ : BIOTHAI

ชาวบ้าน รับสิ้นหวังหน่วยงานรัฐ

ปัญญา โตกทอง แกนนำกลุ่มคนรักษ์แม่กลอง ให้ความเห็นต่อกรณีนี้ โดยยอมรับรู้สึกสิ้นหวังกับหน่วยงานรัฐ และเอกชน ย้ำว่าหากวันนี้ไม่มีกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมเข้ามาช่วย ปัญหาสิ่งแวดล้อมในไทยจะหนักขนาดไหน เรื่องนี้ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว คือผู้นำเข้ามามีเพียงรายเดียว ซึ่งเป็นการพูดความจริง แต่กลับถูกฟ้องปิดปาก ความรู้สึกของชาวบ้าน คือ เขาควรต้องพิสูจน์ว่าไม่ได้เอามา ไม่ได้ทำให้ระบาด ซึ่งหน้าที่ในการพิสูจน์ อยู่ที่เขา

“สำหรับคนที่ไม่ได้ฟังข่าวสารรอบด้าน หรือฟังข่าวไม่ครบ ก็จะเกิดความกลัวที่ถูกฟ้อง แม้กระทั้งไม่ฟ้องชาวบ้านเขาก็กลัวกันอยู่แล้ว พอมีข่าวถูกฟ้องชาวบ้านก็ หัวหดมากขึ้น ชาวบ้านที่เขาเข้าใจ ก็ยืนยันที่จะสู้ต่อเพื่อความยุติธรรม และความถูกต้อง”

ปัญญา โตกทอง

ย้ำ เดินหน้าร้อง ‘อนุทิน’ แก้ปัญหาปลาหมอคางดำ

เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวในอนาคต หรือไม่นั้น แกนนำกลุ่มคนรักษ์แม่กลอง บอกว่า คนไม่มีประสบการณ์ ก็จะเกิดความกลัว มองว่าสู้ไม่ได้ ตั้งแต่ยังไม่ทันสู้ วันนี้ไม่มีที่พึ่งอย่างองค์กรภาคประชาสังคม หรือมูลนิธิเข้ามาช่วย หน่วยงานรัฐไม่สามารถหวังพึ่งได้ หลังจากนี้จะกลับไปหารือร่วมกันกับชาวบ้านว่าจะเอาอย่างไรกันต่อ เพราะตอนนี้มีรัฐบาลใหม่ คิดว่าจะต้องไปร้องเรียนต่ออนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และไม่ว่านายกฯ จะเปลี่ยนอีกกี่คน ก็จะไปร้อง เพราะนี่คือหน้าที่

ตั้งคำถาม เรียกหาความรับผิดชอบ ≠ ความผิด

สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) มองว่า กรณีของปลาหมอคางดำเป็นเรื่องที่ใหญ่ เพราะผลกระทบเกิดขึ้นหลายพื้นที่ และทำลายระบบนิเวศ เรียกว่า เป็นวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและมีผลกระทบต่อเกษตรกร 

จึงเชื่อว่ากรณีเช่นนี้เป็นการฟ้อง SLAPP เนื่องจาก วิฑูรย์ และทีม BIOTHAI ออกมาสื่อสารเป็นลักษณะการตั้งคำถามกับความรับผิดชอบของบริษัท หรือหน่วยงานรัฐ ฉะนั้นการออกมาตั้งคำถามของวิฑูรย์ เป็นประเด็นสำคัญที่นักปกป้องสิทธิ์ต้องออกมาเรียกร้อง เนื่องจากที่ผ่านมา มีความพยายามสื่อสารข้อมูล การนำเข้าปลาหมอคางดำ และข้อมูลชี้ว่า บริษัทดังกล่าว นำเข้าปลาหมอคางดำเพียงเจ้าเดียว ฉะนั้นการตั้งคำถามก็เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบจากเอกชน ที่อาจเป็นผู้กระทำความผิดในการนำเข้าปลาชนิดนี้จึงเป็นสิ่งชอบธรรม แต่สิ่งที่ปรากฎตามมากลับตรงกันข้าม เพราะถูกฟ้องดำเนินคดี  

สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)

เชื่อ กม.Anti-SLAPP ช่วยป้องกันนักปกป้องสิทธิ์ถูกกลั่นแกล้ง

สุภาภรณ์ ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมามีความพยายามเรียกร้อง ให้เกิดกฎหมาย Anti SLAPP เนื่องจากว่า กรณีของ วิฑูรย์ ไม่ใช่กรณีแรกที่เกิดขึ้น แต่มีชุมชนที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถาม ตรวจสอบประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะนักปกป้องสิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นกรณีของการตั้งโรงงานต่าง ๆ ที่โดนคุกคามกันมาหลายกรณีแล้ว 

ดังนั้นจึงมองว่าประเทศไทยควรมีกฎหมายที่จะมากำกับควบคุมเรื่องการใช้กลไกทางกฎหมาย เป็นเครื่องมือในการทำให้นักปกป้องสิทธิ์หยุดการกระทำ โดยเฉพาะการส่งเสียงกับสาธารณะถึงผลกระทบ เพื่อป้องปรามไม่ให้บริษัท หรือว่ากลุ่มธุรกิจที่ไม่รับผิดชอบ เอากลไกทางกฎหมายมาเป็นเครื่องมือมากลั่นแกล้งนักปกป้องสิทธิ์ที่ออกมาเรียกร้องดังกล่าว  

“วัตถุประสงค์หลักของนักปกป้องสิทธิ์เพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งมันไม่ใช่ประเด็นการเป็นคู่ขัดแย้งที่ว่าเป็นคู่แข่งทางการค้า หรือได้ประโยชน์จากการลุกขึ้นมาส่งเสียงนั้นโดยปัจเจก แต่ว่าส่วนใหญ่ที่เราพูดถึงกฎหมายการป้องกันการ SLAPP เพราะส่วนมากนักปกป้องสิทธิ์ที่โดน คือ คนที่ลุกขึ้นมาปกป้องประเด็นสาธารณะ สำหรับทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และปกป้องชุมชนด้วย”

สุภาภรณ์ มาลัยลอย

สุภาภรณ์ ยังมองว่า ท้ายที่สุดหากพิสูจน์ได้ว่าการฟ้องดังกล่าวเพื่อเป็นการปิดปากหรือกลั่นแกล้ง ผู้ที่ฟ้องจะต้องรับโทษด้วยเนื่องจากพบว่า เมื่อมีการฟ้องปิดปากแล้วท้ายที่สุดศาลยกฟ้องว่าไม่มีความผิด แต่ความเสียหายต่อผู้ถูกฟ้องได้เกิดขึ้นแล้ว 

“นักปกป้องสิทธิ์ที่ออกมาเคลื่อนไหว จะต้องเสียทั้งเวลาและเงินในการต่อสู้คดี รวมถึงครอบครัว คนรอบข้างเอง ก็มีความหวาดระแวงและกังวล นอกจากนั้นยังส่งผลไปถึงกลุ่มขบวนการนักขับเคลื่อนปกป้องสิทธิ์ ประเด็นสาธารณะ ฉะนั้นจึงมองว่า ไทยควรรีบมีกฎหมายเพื่อทั้งป้องปราม และเอาผิดผู้ที่ใช้กลไกทางกฎหมายคุกคามนักปกป้องสิทธิ์ที่ลุกขึ้นมาเพื่อประโยชน์สาธารณะ”

สุภาภรณ์ มาลัยลอย

อีกทั้งมองว่า การมีกฎหมายนอกจากจะลดการสูญเสียแล้ว ยังสนับสนุนให้ประชาชนกล้าที่จะลุกขึ้นมาตั้งคำถามตรวจสอบประเด็นสาธารณะมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐและสาธารณะเองด้วย  

แนะ 3 ข้อเสนอ หยุดคดีฟ้องปิดปาก ไม่ต้องรอกฎหมาย Anti-SLAPP

ขณะที่ สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ เคยให้ความเห็นไว้ในเวที เสวนา “สิทธิมนุษยชนสิ่งแวดล้อม : การนำ UN Resolution on Right to Environment มาสู่การปฏิบัติ” โดยช่วงหนึ่งระบุถึงคดี SLAPP ว่า ที่ผ่านมามีความพยายามยกร่างกฎหมายต่อต้าน SLAPP และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพิ่งมีกฎหมาย แต่มองว่า กฎหมายของ ป.ป.ช. กล่าวถึงเพียงคดีของคอร์รัปชันไม่ได้ครอบคลุมถึงคดีสิทธิมนุษยชนในสิ่งแวดล้อม 

จึงมี 3 ข้อเสนอ ที่สามารถทำได้เลยโดยที่ไม่ต้องรอกฎหมาย ได้แก่

  • ควรจะทำแนวปฏิบัติหรือข้อกำหนดรายการตรวจสอบให้ศาล ว่าหากคดีไหนเข้าข่าย SLAPP สามารถพิจารณาไม่รับฟ้องได้
    เนื่องจากศาลมีอำนาจที่จะโยนคดี หากเห็นว่า ไม่มีมูลการฟ้องที่หนักแน่นพอ สามารถตัดทิ้งได้ไม่ให้เข้าสู่กระบวนการ

  • รณรงค์ให้องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทำเอกสารอธิบายให้กับบริษัทประกาศนโยบายสิทธิมนุษยชน คือ นโยบายที่จะไม่แก้แค้น ตอบโต้คนที่วิพากษ์วิจารณ์ สิ่งนี้มีแบบแผนและธรรมเนียมการปฏิบัติกับบริษัทในต่างประเทศ หรือกระทั่งในประเทศไทยก็มีแต่ยังน้อยอยู่

     
  • การทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยมีเนื้อหาที่ส่งเสริมให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นคดีความ 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active