‘มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค’ เผยสารพัดกลเม็ดมิจฉาชีพ หลอกเยื่อ สะท้อนปัญหายุคดิจิทัล จี้ รัฐออกกฎหมายปกป้องสิทธิประชาชน ดึงค่ายมือถือ ธนาคาร ร่วมรับผิดชอบหากเกิดความเสียหาย
วันนี้ (7 ม.ค. 68) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) เปิดเผยสถานการณ์ผู้บริโภค ปี 2567 โดยได้รับเรื่องร้องเรียนและให้คำปรึกษา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 1,361 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 200 ล้านบาท
ทั้งนี้หากคิดตามมูลค่าความเสียหายแล้ว ภัยการเงิน ถือเป็นต้นเหตุที่สร้างความเสียหายต่อผู้บริโภค มากเป็นอันดับ 1 ของปี 2567 มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 70 ล้านบาท นี่เป็นข้อมูลจากฐานระบบของฝ่ายพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งบันทึกสถิติการรับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย ประกอบด้วย
- ภัยทางการเงินและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (เสียหายกว่า 70 ล้านบาท)
- อสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย (ความเสียหายกว่า 66 ล้านบาท)
- สินค้าและบริการทั่วไป (เสียหายกว่า 57 ล้านบาท)
- สื่อโทรคมนาคม (เสียหายกว่า 20 ล้านบาท)
- บริการขนส่งและยานพาหนะ อาหาร ยา เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริการสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ (เสียหายตั้งแต่หลักหมื่น-แสนบาท)
‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ฆ่าไม่ตาย! ผู้เสียหายหมดตัว
ตลอดปี 2567 พบว่า แก๊งมิจฉาชีพใช้สารพัดกลเม็ดเพื่อล่อลวง ขู่กรรโชก ทำให้เหยื่อตกใจและติดกับดัก เช่น ปลอมตัวเป็นตำรวจด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ภาพขยับปากที่เรียกว่า “Deepfake” หรือ ที่ล้ำไปกว่านั้น คือการตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกล โดยส่งลิงก์ให้เหยื่อกดเพื่อดูดเงินจากบัญชีธนาคาร รวมไปถึงการยังสร้างเว็บไซต์ปลอมแอบอ้างเป็นตำรวจไซเบอร์ ทำให้ผู้เสียหายที่ต้องการดำเนินคดีหลงเชื่อ แต่สุดท้ายต้องสูญเงินซ้ำซ้อน
ธนัช ธรรมมิกสกุล หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชี้ว่า มีผู้เสียหายจำนวนมากที่เจอกับดัก ตำรวจปลอม โดยเป็นการสร้างเว็บไซต์หรือช่องทางร้องเรียนต่าง ๆ ที่มีทั้งรูปภาพ เนื้อหา และการตั้งชื่อที่ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นเพจทางการของตำรวจ กรณีนี้เป็นการสะท้อนปัญหายุคดิจิทัล ที่ทางหน่วยงานรัฐและฝั่งผู้บริโภคเองควรมีการแจ้งเตือนเพื่อปกป้องสิทธิของตนเองและป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเรื่องของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พูดถึง และตกเป็นข่าวมาโดยตลอด แต่จำนวนไม่ได้ลดลงเลย กลับยิ่งระบาดหนัก พร้อมด้วยกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่สร้างความเสียหายรุนแรงมากขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
นฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกว่า ที่ผ่านมา ได้เสนอข้อเรียกร้องนี้ต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ตำรวจไซเบอร์ เพื่อขอให้หน่วยงานดังกล่าวทำงานแบบรวมศูนย์ มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างมาตรการกวาดล้างโจรออนไลน์ให้สิ้นซาก และไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องช่วยเหลือตัวเองเหมือนในเวลานี้
ล่าสุด มีสัญญาณตอบรับที่ดี เมื่อรัฐบาลประกาศแก้กฎหมายปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เตรียมออก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์ และธนาคารต้องร่วมรับผิดชอบหากมีการเกิดความเสียหายกับประชาชน
โดยเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 67 ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ระบุว่า ขณะนี้อยู่ในขึ้นตอนเสนอคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่าง หากไม่พบว่าขัดต่อข้อกฎหมายอื่น ๆ จะส่งกลับมาให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและมีการบังคับใช้โดยเร็วที่สุด
สำหรับสถานการณ์ในต่างประเทศ ในเวลานี้ หลายประเทศได้ออกกฎหมายจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยการระบุ ให้ธนาคารและค่ายโทรศัพท์มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบหากเกิดความเสียหายด้วยเช่นกัน เช่น สิงค์โปร์, จีน, อินเดีย, สหรัฐอเมริกา และ สหราชอาณาจักร ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นไปเพื่อการคุ้มครองประชาชนและระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
แต่สำหรับไทยแล้วปัญหานี้ยังมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่ยังไม่ถูกแก้ไข โดยเฉพาะการที่ค่ายมือถือไม่สามารถจัดการระบบการลงทะเบียนซิมการ์ดได้อย่างถูกต้อง กลายเป็นช่องว่างที่ทำให้มิจฉาชีพเข้ามากว้านซื้อซิมการ์ดหลายแสนซิม
แม้ว่าที่ผ่านมา กสทช. ออกคำสั่งปรับค่ายมือถือวันละ 1 ล้านบาท หากทางค่ายมือถือไม่สามารถจัดการระบบการลงทะเบียนซิมการ์ดให้ถูกต้องได้ใน 30 วัน นับจากเริ่มเข้าสู่กระบวนการ และคำสั่งนี้จะถูกประกาศใช้มาแล้วตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. 65 แต่จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของ กสทช. พบว่า ยังคงมีการลงทะเบียนซิมการ์ดผ่านตัวแทนจำหน่าย (ลูกตู้) หลายครั้ง และผู้ใช้บริการ 1 ราย ยังสามารถลงทะเบียนเปิดใช้ซิมการ์ดกับตัวแทนจำหน่ายได้มากกว่า 5 หมายเลข ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมาก สะท้อนให้เห็นว่า หน่วยงานรัฐที่มีบทบาทโดยตรงในการแก้ไขปัญหา กลับยังเป็นฝ่ายวิ่งไล่ตามปัญหามากกว่าจะป้องกันความเสียหายให้กับประชานแต่ต้นทาง
คงต้องจับตากันต่อไปว่า กฎหมายปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในรอบนี้ จะออกมาบังคับใช้และมีผลในทางปฏิบัติได้เท่าทันกับสถานการณ์หรือไม่