เครือข่ายประชาชนไม่เอากฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ย้ำ เดินหน้าค้านกฎหมายพิเศษ เปิดทาง ‘แลนด์บริดจ์’ แนะรัฐดูบทเรียน พ.ร.บ. EEC หลังภาคตะวันออก เผชิญปัญหามลพิษซ้ำซาก ซัด กฎหมายแบบนี้ไม่ควรถูกเขียนในรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ขู่ยกระดับเคลื่อนไหวหากยังผลักดันต่อ
วันนี้ (11 มี.ค. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนเครือข่ายประชาชนไม่เอากฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมตัวยื่นหนังสือถึงคณะรัฐมนตรี กรณีรัฐบาลนำ กฎหมาย SEC หรือ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เข้าสู่การพิจารณา
สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) บอกว่า การเดินทางมาของเครือข่ายต้องการมายื่นหนังสือเพื่อคัดค้านร่างกฏหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ ภาคใต้ หรือ พ.ร.บ.SEC ซึ่งรัฐบาลนี้ได้ตั้งเป็นนโยบายเรือธง และเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้นั้นคือ โครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง ซึ่งเครือข่ายฯ ได้แสดงเจตนารมณ์ และสื่อสารถึงที่มาที่ไปและเหตุผลว่าทำไมกฎหมายฉบับนี้ถึงไม่ควรมีขึ้น
“ไม่ใช้แค่เฉพาะภาคใต้ แต่กฎหมายพิเศษไม่ควรจะมีในทุกภาค แม้ว่าจะมีการประกาศใช้ไปแล้วในรัฐบาล ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2561 ก็คือ พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็นกฎหมายที่มาในยุครัฐบาลพิเศษ รัฐบาล คสช. พอมาในยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่เป็นรัฐบาลที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ยังมีความพยายามของนักการเมือง ฝ่ายรัฐบาลที่จะพยามผลักดันกฎหมายลักษณะนี้อยู่ นี่คือสิ่งที่เราอยากสื่อสารให้สังคมได้รู้”
สมบูรณ์ คำแหง

สมบูรณ์ บอกถึงเหตุผลสำคัญที่ไม่อยากให้เกิดกฎหมายพิเศษ โดยเล่าย้อนถึง กฎหมาย EEC ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ว่า เกิดทั้งเหตุการณ์จัดการมลพิษที่ขาดความรับผิดชอบ เกิดการจัดการขยะพิษที่เป็นประเด็นข่าวอยู่ทุกวัน เกิดการไม่รับผิดชอบไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของการใช้กฎหมายพิเศษ โดยมองว่า เป็นกฎหมายที่มีเป้าประสงค์อย่างเดียว คือ เอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนชาวต่างชาติ นี่คือบทเรียนที่รัฐบาลยังไม่ถอดออกมา และเห็นว่ารัฐบาลได้นำเอาสาระสำคัญของกฎหมาย EEC ปรับใช้กับพื้นที่ภาคใต้ และภาคอื่น ๆ ต่อไป เป็นสิ่งที่มองว่าไม่สามารถยอมรับได้
“เราขอยืนยันว่าพลเมืองไทยทุกคน นักลงทุน ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ เราต้องมีสิทธิเท่าเทียมกันในการใช้กฎหมาย เพราะฉะนั้นการมีเขตเศรษฐกิจพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น EEC, SEC หรือที่ไหนก็แล้วแต่ ที่รัฐจะประกาศต่อไปหลังจากนี้ นั่นหมายถึง ความพยายามของฝ่ายการเมือง ของรัฐบาลที่พยายามจับมือกับนักลงทุนที่ต้องการจะสร้างพื้นที่พิเศษขึ้นมา และใช้อำนาจพิเศษภายใต้กฎหมาย ซึ่งมีรายละเอียดที่ยาก และต้องอธิบายให้สังคมรับรู้รับทราบและเข้าใจ ไม่เช่นนั้น จะไม่รู้ว่ากฎหมายลักษณะแบบนี้มันอันตรายอย่างไร มันสร้างความเหลื่อมล้ำให้กับคนในสังคมไทยอย่างไร”
สมบูรณ์ คำแหง
SEC กฎหมายพิเศษ เอื้อกลุ่มคนพิเศษ มองข้ามประชาชน
รสิตา ซุ่ยยัง เครือข่ายรักษ์ระนอง ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่จะมีกฎหมายให้กับกลุ่มคนพิเศษ โดยที่มองข้ามประชาชนในพื้นที่ ย้ำว่า ต้องการจะรักษาพื้นที่ รักษาสิทธิให้กับคนไทย ไปถึงรุ่นลูกหลานและการที่ออกมาคัดค้านกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เพราะเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออก และรัฐไม่สามารถจัดการปัญหาได้ ทั้งเรื่องสารเคมี โรงงานระเบิด น้ำมันรั่วไหลลงทะเล
“วันนี้ภาคใต้ของเราเป็นเมืองสวรรค์ของใครหลายคน ของคนทั่วประเทศ ทั่วโลกที่ได้ไปเที่ยวกัน เราจะไม่ยอมให้สูญเสียไปกับกฎหมายแบบนี้ ให้กับกลุ่มทุนเพียงไม่กี่คน เรามาเพื่อที่จะปกป้องประเทศของเราและทรัพยากรของเรา หลังจากมีกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษจะเกิดโครงการ อะไรขึ้นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้า โครงการแลนด์บริดจ์ ระนอง ชุมพร”
รสิตา ซุ่ยยัง

SEC แย่งยึดทรัพยากร มองข้ามต่อยอด ยั่งยืน
ขณะที่ สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) ย้ำว่า กฎหมาย SEC มีหลักสำคัญ คือ การเขียนเพื่อแย่งยึดทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เป็นการทำลายสิทธิชุมชน ทำลายวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ โดยไม่มองการพัฒนาที่ต่อยอด และยั่งยืน ทั้งวิถีของชุมชนและกระบวนการในการดูแลปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์
“กฎหมายฉบับนี้ เขียนเพื่อแบ่งแยกการปกครองให้ 4 จังหวัดภาคใต้ (ระนอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช) อยู่ภายใต้คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาและมีอำนาจในการออกกฏหมายหรือระเบียบ ที่แตกต่างจากพื้นที่อื่น เพราะเขียนเอาไว้ว่า ถ้ากฎหมายฉบับใดทำให้ล่าช้า ซ้ำซ้อน สร้างภาระ เป็นอุปสรรคต่อการลุงทุน คณะกรรมการ SEC มีอำนาจเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับปรุงแก้ไขได้ทุกฉบับ ดังนั้น ถ้าคณะกรรมการ SEC มีความเห็นว่ากฎหมายที่ใช้เป็นการทั่วไป ระเบียบที่ใช้เป็นการทั่วไป เป็นการขัดขวางการพัฒนาแนวนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษในภาคใต้ สามารถเสนอคณะรัฐมนตรีให้ปรับเปลี่ยนแก้ไขและนำไปใช้ใน 4 จังหวัดนี้ได้”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
หวั่นคณะกรรมการฯ ไร้อำนาจถ่วงดุล ไร้การตรวจสอบ
สุภาภรณ์ บอกด้วยว่า หากไปดูคณะกรรมการชุดนี้ จะประกอบไปด้วย คณะรัฐมนตรีน้อย คือ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน คณะกรรมการก็เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ดังนั้น การเสนอจากคณะกรรมการ SEC สู่ ครม. ก็เป็นกลุ่มบุคคลแทบจะเป็นบุคคลเดียวกัน ทำให้อำนาจการถ่วงดุลหรือตรวจสอบไม่มี
ส่วนที่มองว่าเป็นการแย่งยึดทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ก็เพราะว่า กฎหมายเขียนเอาไว้ว่า สามารถนำที่ดิน สปก. ที่มีเจตจำนงให้เกษตรกรที่เข้าไม่ถึงที่ดินสามารถใช้ที่ดินในการทำการเกษตรได้ แต่ในกฎหมายฉบับนี้สามารถนำมาเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมได้ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ของรัฐต่าง ๆ ก็สามารถนำมาจัดซื้อ เช่า แลกเปลี่ยน เวนคืน ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด ดังนั้น ทรัพยากรที่ดินจะเป็นอันดับแรกที่จะถูกเปลี่ยนไปอยู่ในมือของกลุ่มทุน
“ท่าเรือของแลนด์บริดจ์ในการก่อสร้างก็จะต้องไประเบิดภูเขา เพื่อนำทรายมาถมทะเล เพื่อให้เกิดเกาะอีกเกาะ ในการสร้างท่าเรือขนส่งสินค้า สิ่งเหล่านี้เป็นการทำลายระบบนิเวศที่มีอยู่ เพราะนั่นเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งอาหาร ที่พี่น้องประชาชนใช้ร่วมกันในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะ 4 จังหวัดนั้น ดังนั้นการออกกฏหมายเพื่อแบ่งแยกการปกครองขนาดนี้ เป็นกฎหมายสำคัญที่ไม่ควรที่จะถูกเขียนขึ้นในรัฐบาลที่บอกว่ามาจากการเลือกตั้ง และอยู่ในระบอบประชาธิปไตย การพัฒนาควรจะอยู่บนทางการมีส่วนร่วมของประชาชน ต่อยอดการพัฒนากับคนในพื้นที่ ที่สำคัญคือต้องดูแลปกป้องคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย

เปิดหนังสือ คัดค้านร่าง พ.ร.บ.SEC
เครือข่ายประชาชนไม่เอากฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยืนยัน ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการสร้างอำนาจพิเศษเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคนพิเศษบางกลุ่ม ผ่านการตรากฎหมายในลักษณะนี้ทุกฉบับ ทั้งที่ดำเนินการไปแล้วคือ กฎหมาย EEC หรือร่างกฎหมาย SEC ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และที่จะมีการผลักดันร่างกฎหมายว่าด้วยระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ไปทุกภูมิภาคในอนาคต โดยมีเหตุผลสำคัญเบื้องต้น ดังนี้
- กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีลักษณะของการละเมิดสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง และเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างประชาชนกับนักลงทุน โดยมีการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายปกติที่มีอยู่แล้วร่วม 20 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน การจัดการทรัพยากรและพื้นที่อนุรักษ์ การประกอบอาชีพสงวน การเงิน แรงงาน ผังเมือง และอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่พลเมืองไทยไม่เคยได้รับ หรือไม่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย แต่กฎหมายดังกล่าวนั้นกลับเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มนักลงทุน (ต่างชาติ) เกือบทุกมิติ
- ร่างกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ที่ให้สิทธิพิเศษและยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายกับคนบางกลุ่ม มีลักษณะเข้าข่ายขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 โดยเฉพาะมาตรา 4 ที่บัญญัติว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง … (วรรคสอง) ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน” และมาตรา 27 ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน … (วรรคสาม) การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิดเชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้”
- ร่างกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ รวมไปถึงพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ที่บังคับใช้ไปแล้วนั้น มีลักษณะของการสร้างอำนาจการบริหารประเทศในพื้นที่พิเศษขึ้นมาอีกอำนาจหนึ่งที่อาจเข้าข่ายเป็นการแบ่งแยกการปกครอง ถึงแม้รัฐบาลจะอ้างเหตุผลว่าเพื่อประโยชน์ทางทางเศรษฐกิจของประเทศ หากแต่ยังมีข้อสงสัยว่าสามารถกระทำได้บนพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรตีความทบทวนเรื่องนี้อย่างระมัดระวังรอบคอบ ทั้งต้องอาศัยรับฟังความคิดและความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อครั้งที่มีการบัญญัติกฎหมายในลักษณะนี้ขึ้นครั้งแรกในในยุครัฐบาล คสช. นั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ประเทศอยู่ในการปกครองแบบพิเศษ ที่ประชาชนแทบจะแสดงความคิดเห็นต่างจากรัฐบาลไม่ได้เลย ซึ่งหากรัฐบาลปัจจุบันจะสืบทอดนโยบายเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษต่อไป จึงต้องพิจารณาใคร่ครวญให้รอบด้าน
- พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 หรือ EEC เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับมาแล้วเกิน 5 ปี และมีข้อสังเกตจากการศึกษาประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายโดยกลุ่มนักวิชาการอิสระ ค้นพบว่า EEC เป็นกฎหมายที่มีความล้มเหลวในการบังคับใช้หลายกรณี อาทิ ความหละหลวมในการบริหารจัดการมลพิษและกากสารเคมี การคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการแหล่งน้ำอุปโภคบริโภค การคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการอยู่อาศัยและทำกิน รวมถึงเรื่องกองทุนการช่วยเหลือเยียวยา ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงภายใต้กฎหมายดังกล่าว รัฐบาลจึงไม่ควรนำความล้มเหลวเหล่านั้นมาดำเนินการให้เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้หรือภาคอื่น ๆ อีกต่อไป
“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเหตุผลเบื้องต้น ที่อธิบายให้ท่านได้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับร่างกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ที่คณะรัฐมนตรีกำลังจะมีการพิจารณากันในวันที่ 11 มีนาคม 2568 นี้ เพื่อผลักดันเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภาอันเร็ววันนี้ จึงอดที่จะตั้งคำถามในเชิงหลักการไม่ได้ว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่ยึดมั่นหลักการฐานคิดอะไรถึงยอมให้ประชาชนของประเทศตกอยู่ภายใต้กฎหมายในลักษณะนี้ได้ ซึ่งพวกท่านไม่ควรอ้างว่าประเทศของเรามีกฎหมายในลักษณะนี้อยู่ก่อนแล้วตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะคงไม่ใช่เหตุผลที่รับฟังได้”
เครือข่ายประชาชนไม่เอากฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในฐานะพื้นที่กลางของขบวนองค์กรภาคประชาชน องค์กรชุมชนหลายองค์กรในพื้นที่ภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด และองค์กรเครือข่ายภาคีระหว่างภูมิภาค (ตามรายชื่อที่แนบมาท้ายนี้) จึงขอยื่นข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะผู้นำรัฐบาล ดังนี้
- ขอให้รัฐบาลทบทวนแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจในรูปแบบการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษในทุกภูมิภาค และขอให้มีการใช้มาตรการส่งเสริมการลงทุนแบบปกติที่มีอยู่แล้ว ที่จะไม่ได้เป็นการสร้างอำนาจพิเศษให้กับคนพิเศษเพียงบางคนบางกลุ่มเป็นการเฉพาะ และต้องไม่เป็นการสร้างมาตรฐานทางกฎหมายที่แตกต่างกัน อันเป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำในสังคม
- รัฐบาลต้องยุติการเสนอร่างกฎหมายว่าด้วยระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. …. (SEC) ทุกฉบับ และขอให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์และทำการทบทวนพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 (EEC) หากพบว่ามีความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมาย ก็ต้องยกเลิกการใช้กฎหมายดังกล่าวในทันที พร้อมกับถอนร่างกฎหมายว่าด้วยระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. …. ออกจากการพิจารณาของรัฐสภา
- ขอให้รัฐบาลจัดทำแผนการพัฒนาประเทศแบบมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยตั้งอยู่บนฐานศักยภาพของแต่ละภูมิภาคที่มีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน โดยการพัฒนาเหล่านั้นจะต้องคำนึงถึงความมั่นคงยั่งยืนด้านสังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ที่จะต้องไม่ละเลยทิ้งใครไว้ข้างหลัง และต้องตั้งอยู่บนหลักความเท่าเทียมและเป็นธรรม
“พวกเราไม่สามารถยอมรับให้พื้นที่ภาคใต้ หรือภาคใดภาคหนึ่งของประเทศไทย ถูกแบ่งแยกการปกครองในรูปแบบพิเศษที่มีความแตกต่างเหลื่อมล้ำระหว่างกันได้ รวมถึงภาคตะวันออก ซึ่งเป็นภาคที่มีการใช้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งขอยืนยันว่า สิทธิพลเมืองของประชาชนไทยทุกคนต้องเท่าเทียมกัน และไม่สามารถยอมมอบสิทธิพิเศษที่มากกว่านี้ให้กับใครได้ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ เราจึงเห็นร่วมกันที่จะยืนหยัดเพื่อยับยั้ง ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. …. ทุกฉบับ อย่างถึงที่สุด หากรัฐบาลยังดึงดันเดินหน้าแนวนโยบายและกฎหมายดังกล่าวนี้ต่อไป พวกเราพร้อมที่จะยกระดับการเคลื่อนไหวอย่างถึงที่สุด
ด้าน มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ย้ำกับทางเครือข่ายฯ หลังรับหนังสือ ว่า จะไม่ปล่อยผ่านทุกความเห็นที่มาจากภาคประชาชน